ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

“เลือก สมาชิกสภาฯชาติพันธุ์” ผ่านโค้งอันตราย กฎหมายชาติพันธุ์

“เลือก สมาชิกสภาฯชาติพันธุ์” ผ่านโค้งอันตราย กฎหมายชาติพันธุ์
อ่านให้ฟัง
08:34อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

มาตรา 13 พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ 2568 ที่เตรียมจะประกาศบังคับใช้กฎหมายใหม่ ซึ่งถือเป็นฉบับประวัติศาสตร์ก้าวสำคัญของการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ระบุให้มี “สภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย” ขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

“สภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย” จะประกอบไปด้วย สมาชิกที่มาจากผู้แทนกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งเลือกกันเองภายในกลุ่มที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กลุ่มละไม่เกินห้าคน โดยด้องมีสัดส่วนเพศสภาพ วัย และภูมิภาคที่เหมาะสมและเป็นธรรม รวมแล้วไม่เกิน 300 คน

“นี่เป็นโจทย์ใหญ่มาก ๆ เพราะการมีอยู่ของสภาฯชาติพันธุ์ จะไปส่งผลโดย ตรงกับการทำให้ให้กฎหมายที่เราพยายามผลักดันกันมานานสามารถคุ้มครองและส่งเสริมพี่น้องชาติพันธุ์ได้จริงตามเจตนารมณ์ ... ดังนั้น กระบวนการทำให้เกิดสภาฯและที่มาของ สมาชิกสภาฯชาติพันธุ์ จึงเป็นหัวใจสำคัญที่เราต้องออกแบบอย่างรอบคอบ”

อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ให้ความเห็นต่อปัญหาท้าทายข้อใหญ่ที่รออยู่และมีเวลาไม่มากนักที่จะต้องดำเนินการ หลังหลายฝ่ายร่วมแสดงความยินดีที่รัฐสภาของไทยพิจารณาเห็นชอบให้ผ่านกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

ความท้าทายที่อภินันท์ กำลังพูดถึง ก็คือ การออกแบบกระบวนการหรือวิธีการซึ่งจะทำให้ได้มาซึ่ง “สมาชิกสภา” ใน “สภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย” ซึ่งจะเป็นกลไกที่มีบทบาทสำคัญมาก เพราะจะมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย หากเริ่มต้นด้วยความไม่เข้าใจบทบาทนี้ตั้งแต่ที่มาของสมาชิกสภาฯ ไปจนถึงการตั้งสภาฯ ก็อาจทำให้เสียงของชาติพันธุ์บางกลุ่มหายไป

ยืนยันว่า สภาชาติพันธุ์ไม่ใช่องค์กรรัฐซ้อนรัฐ แต่เป็นการออกแบบให้ภาคประชาชนซึ่งในที่นี้คือกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่มีความหลากหลาย ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายที่จะถูกนำมาใช้กับการดำรงชีวิตของพวกเขาเอง เป็นตำแหน่งที่ไม่มีเงินเดือน

อภินันท์ ย้ำว่า แต่มีโจทย์ที่ต้องยอมรับว่า ... ยากมาก ... และจะต้องมาออกแบบร่วมกันอย่างเป็นระบบ คือ การออกระเบียบเพื่อให้ได้มาซึ่ง “สมาชิกสภาฯชาติพันธุ์” ซึ่งจำเป็นต้องตอบรับความหลากหลาย เท่าเทียม มีกระบวนการที่โปร่งใส และเป็นที่ยอมรับของทุกกลุ่ม เราจึงจำเป็นจะต้องตีโจทย์ให้แตกว่า รูปแบบการคัดเลือกสมาชิกสภา ฯ ชาติพันธุ์ควรเป็นอย่างไรที่จะทำให้ทุกกลุ่มก้อนเข้าถึงสิทธินี้ได้ เพราะในตัวกฎหมายไม่ได้ระบุขั้นตอนนี้เอาไว้

อภินันท์ พยายามชี้ให้เห็นว่า จุดกำเนิดแรกของการตั้ง “สภาชาติพันธุ์” เป็นเรื่องที่ต้องถูกนำมาหารือร่วมกันทุกฝ่ายอย่างรอบคอบ เพราะวิธีการหาคนมาเป็นสมาชิกสภาฯชาติพันธุ์ ยังมีปัจจัยที่อ่อนไหวและซับซ้อนซ่อนอยู่อีกมากมาย

“ขอยกตัวอย่างง่ายๆ 3 ตัวอย่าง ... ตัวอย่างแรก เราจะอธิบายการกำหนดสัดส่วนอย่างไรกับกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มที่มีจำนวนประชากรต่างกันมาก บางกลุ่มมีหลักล้านคน บางกลุ่มมีไม่ถึงร้อยคน ...

ตัวอย่างที่ 2 ในบางชาติพันธุ์ เขาแยกย่อยออกไปมีอัตลักษณ์ของตัวเองอีก แม้จะเป็นเชื้อสายเดียวกัน แต่เรียกชื่อคนละอย่าง แต่งกายไม่เหมือนกัน มีวิถีบางอย่างต่างกัน เราจะนับเป็นกลุ่มเดียวกันหรือคนละกลุ่มกัน ...

ตัวอย่างที่ 3 เราจะกำหนดวิธีการใช้สิทธิลงคะแนนอย่างไรในการเลือกผู้แทนของแต่ละชนเผ่า เพราะบางชนเผ่าไม่ได้มีที่อยู่อาศัยในบริเวณเดียวกัน บางเผ่ากระจายไปหลายจังหวัด หรือแม้แต่ในหมู่บ้านแห่งเดียวก็อาจมีชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันอาศัยอยู่ถึง 3 ชนเผ่า” อภินันท์ ชี้ให้เป็นปัญหาที่อ่อนไหวอย่างยิ่ง

“การให้ความยอมรับต่อที่มาของสมาชิกสภาฯชาติพันธุ์ที่ต้องโปร่งใส เท่าเทียม ตอบรับความแตกต่างหลากหลายตามเจตนารมณ์ของการเสนอกฎ หมาย ถือเป็นประเด็นสำคัญมากๆ ที่เราต้องรอบคอบ เพราะไม่เช่นนั้น สภาฯชาติพันธุ์ ก็อาจกลายเป็นพื้นที่ผลักดันความต้องการเฉพาะปัญหาของชาติ พันธุ์กลุ่มใหญ่ๆ ทั้งที่กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีจำนวนคนไม่มาก ก็มีปัญหาของเขาที่ต้องการให้สภาฯช่วยผลักดันเช่นกัน”

“การตั้งสภาฯชาติพันธุ์ จึงมีความสำคัญที่เครือข่ายพี่น้องชาติพันธุ์ต้องคอยเตือนตัวเองด้วย”

กระบวนการหรือกลไกการคัดเลือกผู้ที่จะเข้ามาเป็น “สมาชิกสภาฯชาติพันธุ์” จึงเป็นสิ่งที่อภินันท์เห็นว่า จำเป็นต้องตั้งวงพูดคุยในเครือข่ายชาติพันธุ์โดยเร็ว เพื่อให้มีเวลาในการออกแบบ หาข้อดี ข้อเสีย และได้รับฟังข้อเสนอแนะจากผู้ที่มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้าน

ต้องยอมรับว่า หากกระบวนการตั้งสภาฯ ชาติพันธุ์ในขั้นแรกล้มเหลว หรือกลายเป็นกลไกที่พิการ หรือตกลงกันเองไม่ได้จนถูกฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงจนกลายเป็นพื้นที่ของนักการเมือง ก็จะทำให้กฎหมายที่อุตส่าห์ช่วยกันผลักดันจนผ่านกลไกรัฐสภามาได้อย่างยากเย็น แทบจะไม่มีประโยชน์เลย

“สมมติว่า เราต้องการเสนอให้ชุมชนแห่งหนึ่งได้รับประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ตามที่เขียนไว้ในกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งนั่นเป็นความฝันของเราที่อยากเห็นการบริหารจัดการพื้นที่ร่วมกันระหว่างพี่น้องชาติพันธุ์กับเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ... แต่กลไกนี้จะต้องถูกนำมาพิจารณาผ่านคณะกรรมการระดับชาติ ที่เรียกว่า “คณะการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” ซึ่งโดยโครงสร้างของคณะกรรมการจะมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีรัฐมนตรีวัฒนธรรม พัฒนาสังคม และทรัพยากรธรรมชาติฯเป็นรองประธานคนที่ 1 2 3 ... มีกรรมการโดยตำแหน่งคือปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ”

“และที่สำคัญคือ .... จะต้องมี “ประธานสภาฯชาติพันธุ์” เข้าไปอยู่ในคณะกรรมการระดับชาติชุดนี้ในฐานะ “รองประธานกรรมการคนที่ 4” ... ยังต้องมี “กรรมการผู้แทนกลุ่มชาติพันธุ์” จำนวน 9 คน ซึ่งมาจากการสรรหาของสภาฯชาติพันธุ์ ... ดังนั้น ถ้ายังไม่สามารถตั้งสภาฯชาติพันธุ์ได้ ก็จะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนกฎหมายชาติพันธุ์ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์อย่างแน่นอน เพราะเมื่อยังไม่มีตัวแทนจากสภาฯอย่างเป็นทางการมาเข้าร่วมในคณะกรรมการชาติ ... ก็ยากที่จะพิจารณาขับเคลื่อนประเด็นสำคัญในกฎหมายได้”

อภินันท์ อธิบายให้เห็นภาพว่า ผู้แทนที่มาจากสภาชาติพันธุ์ 10 คน คือ ประธานสภาฯ และตัวแทนที่สภาเลือกมาอีก 9 คน จะต้องเข้าไปอยู่ในคณะกรรมการระดับชาติ ซึ่งเป็นกลไกที่จะพิจารณาขับเคลื่อนให้นโยบายถูกนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม ... ดังนั้น ถ้ายังไม่มี 10 คนนี้ คณะกรรมการชาติ ก็จะดำเนินการไปไม่ได้ และอาจทำให้ภาพลักษณ์ของกฎหมายชาติพันธุ์เสียหายในระยะยาว

“นี่เป็นโจทย์ที่ยากมาก แต่เมื่อผลักดันกฎหมายมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องเดินหน้าต่อไป และหวังว่า เราสามารถจะสร้างกลไกที่จะช่วยให้มีเครื่องมือในการขับเคลื่อนกฎหมายชาติพันธุ์ให้เกิดผลได้มากขึ้นในช่วงเวลาต่อจากนี้” อภินันท์ ทิ้งท้ายอย่างมีความหวัง

รายงานโดย :สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา สื่อมวลชนอิสระ

อ่านข่าว