วันนี้ (3 ก.ย.2568) พล.ต.สุรวิชญ์ แดงจันทร์ โฆษกกองทัพภาคที่ 1 แถลงข่าววาระพิเศษที่กองทัพภาคที่ 1 ย้ำถึงขั้นตอนทางยุทธการของ พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สระแก้ว ว่า แม่ทัพภาคที่ 1 ได้สั่งการและเตรียมกำลังพร้อมเคลื่อนย้ายกำลังเข้าพื้นที่ปฏิบัติการใน จ.สระแก้ว ตามแผนจักรพงศ์ 681 ตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 26 ก.ย.2568 ตามที่กองทัพบกมอบหมาย
โดยแม่ทัพภาคที่ 1 เน้นย้ำให้ระมัดระวังเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชุมชนและกำชับให้กระทำต่อเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ดังนั้นการปฎิบัติที่มีการปกปิดและรอบคอบไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัว ผลการดำเนินการจึงไม่มีการปะทะการดำเนินการใช้หน่วยทหารที่มีศักยภาพสูงกว่าหลายเท่า ทำให้ฝ่ายตรงข้ามยินยอมและล่าถอยไป จากนั้นจึงเข้าทำลายที่ตั้งทางทหารและวางลวดหนาม

โฆษกกองทัพภาคที่ 1 ยังได้ย้ำถึงการดำเนินการจัดการประชุมอาร์ บีซี.สมัยวิสามัญ ที่ผ่านมาว่ามีความยาก โดยเฉพาะเรื่องของสแกรมเมอร์และการเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมถึงการร่วมมือในการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน ซึ่งมีการตั้งคณะประสานงานระหว่างสองฝ่ายขึ้นมา ซึ่งต้องพยายามเดินหน้าเรื่องดังกล่าวในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี.) ที่จะจัดขึ้นในเร็วๆนี้ต่อไป
สำหรับกรณีบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว นั้น ได้มีการออกมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งประกาศในพื้นที่กฎอัยการศึกอยู่แล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลประชาชน ซึ่งในวันนี้ประชาชนอยากไปให้กำลังใจก็สามารถมาได้ตามมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยระหว่างนี้ทางจังหวัดก็ได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่มีเอกสารสิทธิ์เพื่อรังวัดที่ดิน
นอกจากนี้ผู้ว่าราชการจังหวัด ยังทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ให้ดำเนินการรื้อสิ่งปลูกสร้างของกัมพูชาที่รุกล้ำอธิปไตยไทยออกไป มิฉะนั้นจะดำเนินการตามกฎหมาย เช่นเดียวกับการหลบหนีเข้าเมือง การบุกรุกพื้นที่ และการละเมิดพื้นที่ป่าไม้ โดยมีการปักป้ายเพื่อแจ้งให้พี่น้องกัมพูชาทราบว่าจะมีขั้นตอนดำเนินการอย่างไรต่อไป
หลายสิ่งหลายอย่างได้ดำเนินการมาเป็นขั้นเป็นตอน โดยร่วมมือกับหลายหน่วยงาน สิ่งที่ประชาชนรอคอยก็ทำให้แล้ว โดยผู้บังคับบัญชาในอดีตทำส่งต่อมา โดยยืนยันว่า ทหารทำงานร่วมกับมหาดไทยเพื่อเดินหน้าการแก้ไขปัญหา แต่ต้องใช้เวลาและขอให้ใจเย็นตอนนี้กำลังดึงกัมพูชาเข้าสู่กติกาเพื่อใช้กติกาบีบและกัมพูชาเริ่มรับกติกาของไทยแล้ว

ส่วนการซีลชายแดนโดยสมบูรณ์ในพื้นที่กองกำลังบูรพาในจังหวัดสระแก้วนั้น ขอยืนยันว่า ทหารปิดด่านทุกประเภทอย่างสนิทและถาวรทุกด่านมาตั้งแต่ก่อนหยุดยิง เป็นมาตรการกดดันกัมพูชาและซ้อนแนวลวดหนามตลอด 165 กิโลเมตร เป็นทางบก 95 กม. เป็นคลอง 70 กม. ทั้งนี้ได้สั่งให้กองกำลังบูรพาสกรีนแนวชายแดนทั้งหมดอีก 16 กิโลเมตร ด้วยแนวรั้วลวดหนามโดยไม่ให้มีการข้ามแดนผิดกฎหมาย ทั้งหมดนี้คือหัวใจในการปฏิบัติทางยุทธวิธี ยุทธการ และยุทธศาสตร์ เพื่อปิดล้อมและกดดันทางกัมพูชา
ทั้งนี้การดำเนินการของกองทัพภาคที่ 1 มีผลไปถึงกองทัพภาคที่ 2 ด้วย อีกทั้งยังส่งกำลังไปสนับสนุนอีกหลายหน่วยแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ขอย้ำว่า กองทัพภาคที่ 1 ทำเต็มที่และขอให้รอดูผลที่จะเกิดขึ้น โดยแม่ทัพภาคที่ 1 ฝากมาว่าทำทุกอย่าง โดยยึดหลักถูกต้องภายใต้คุณธรรม และขอปิดทองหลังพระ ไม่ชอบฉายแสง
การดำเนินการดังกล่าว เป็นการทำร่วมกันระหว่างหน่วยงานความมั่นคง สมช. กต. มท. รวมถึง กกล.บูรพา แต่ต้องใช้เวลาในระยะหนึ่ง ในขณะเดียวกัน ก็จะมีการเจรจาในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย - กัมพูชา ครั้งต่อไป
โดยยืนยันว่า ต่อไปนี้จะไม่ให้ชาวกัมพูชาเข้ามารุกล้ำอธิปไตยของไทย และจะไม่เป็นพี่ใหญ่ใจดีอีกแล้ว นอกจากนี้แนวทางการประท้วง หากกัมพูชายังนิ่งเฉยจะมีการยกระดับและกำหนดมาตรการในการดำเนินการเอง แต่ทั้งนี้ยืนยันว่า จะเป็นการใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักและคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมด้วย
ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 1 มีความตั้งใจเต็มร้อย ในการดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้สำเร็จลุล่วง โดยกำหนดกรอบระยะเวลาที่สามารถทำได้จริง ไม่ให้ยืดเยื้อ และระบุ พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นคนมีความอดทนเข้มแข็ง มีความสุขุมรอบคอบ เพียงแต่ว่าไม่ใช่นักพูด ไม่ต้องการแสง แต่ต้องการผลงาน

ส่วนการปิดด่านตลอดแนวชายแดนในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 ขอย้ำว่าเป็นการปิดด่านสนิท และยืนยันว่าไม่มีผลประโยชน์ หากทราบข้อมูลว่าใครที่มีการเรียกรับผลประโยชน์ให้นำชื่อและตำแหน่งแจ้งมาที่กองทัพภาคที่ 1 ได้ แต่ไม่อยากให้เป็นการอ้างลอยๆ
สำหรับกรณีด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ที่ปิดไม่สนิทก่อนหน้านี้ เป็นหน้าที่รับผิดชอบของหน่วยตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่ ซึ่งในส่วนของคนไทยก็มีที่ไปทำงานที่กัมพูชา แต่ไม่อยากจะระบุว่าไปทำอะไร ในขณะที่คนกัมพูชาก็ถูกผู้นำบังคับให้กลับประเทศจึงมีการอนุโลม ซึ่งปัจจุบันจำนวนคนที่ต้องการกลับประเทศทั้งไทยและกัมพูชา เบาบางลง
พร้อมกันนี้ได้มีการสุ่มซักถามคนกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศและตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์ว่ามีการถ่ายภาพ วิดีโอ หรือนำข้อมูลใดๆ ของประเทศไทยกลับไปบ้างหรือไม่ โดยพบว่า บางคนเข้าข่ายที่จะเป็นสายลับจึงมีการขึ้นบัญชีดำไม่ให้กลับเข้ามาอีก ขณะที่คนไทยที่เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยถูกสอบสวนว่าไปดำเนินการในสิ่งที่ผิดกฎหมายในกัมพูชาหรือไม่ หรือมีข้อมูลเกี่ยวกับบ่อนการพนัน หรือไม่
ส่วนกรณีที่รัฐบาลกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงอาจจะเป็นสูญญากาศทางการเมืองหรือไม่ พล.ต.สุรวิชญ์ เชื่อว่า รัฐบาลรักษาการมีหน้าที่ในการปฏิบัติแก้ไขปัญหา เพราะฉะนั้นในฐานะที่เป็นทหาร ก็ต้องทำหน้าที่ตามความรับผิดชอบ รักษาอธิปไตยของชาติอย่างเข้มแข็ง
อ่านข่าว : 3 สส.ประชาธิปัตย์ ยก 4 เหตุผล ย้ายขั้วร่วมหนุน "อนุทิน" นายกฯ
"ภูมิใจไทย" ร้องเอาผิด "ภูมิธรรม" ม.157 ปมยื่นทูลเกล้าฯ "ยุบสภา"
จบไม่ลง วิป 2 ฝ่ายเคาะวันโหวตนายกฯ คนใหม่ไม่ได้ โยน “วันนอร์” ตัดสินใจ