รัฐบาลจีนอัดฉีดงบประมาณกลาโหมเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งงบประมาณเมื่อปีที่แล้ว มีมากกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นถึง 13 เท่า จากตัวเลขเมื่อ 30 ปีที่แล้ว และการลงทุนดังกล่าวก็ผลิดอกออกผล จนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก
อาวุธมากมายที่กองทัพจีนขนมาโชว์ในพิธีสวนสนามกลางกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 3 ก.ย.2568 สร้างเสียงฮือฮา ทั้งในหมู่คนจีนที่ได้เห็นเทคโนโลยีล้ำสมัยขนาดมหึมากับตาตัวเอง ไปจนถึงคอข่าวต่างประเทศและผู้เชี่ยวชาญด้านการทหาร ที่เกาะจอรอชมพิธีอันยิ่งใหญ่นี้จากทั่วโลก
ภาพอาวุธในงานนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของจีนในการผลิตและพัฒนาอาวุธขึ้นเองในประเทศ โดยใช้นวัตกรรมล้ำสมัยและยังมีความหลากหลายของประเภทอาวุธด้วย จุดนี้แตกต่างจากอาวุธในพิธีสวนสนามที่จุดเดียวกันนี้ของจีน เมื่อ 10 ปีที่แล้ว อย่างเทียบกันไม่ติด ซึ่งในตอนนั้น อาวุธของจีนยังเน้นไปที่การเลียนแบบตะวันตก เป็นส่วนใหญ่
อาวุธที่น่าสนใจในพิธีสวนสนามเมื่อวานนี้มีเยอะ ทั้งขีปนาวุธข้ามทวีป DF-5C ในตระกูล "ตงเฟิง" ซึ่งจีนคุยว่าติดหัวรบนิวเคลียร์ได้และสามารถยิงโจมตี ได้ทุกพื้นที่ของโลก เทคโนโลยีเรดาร์เตือนภัยล่วงหน้า ระบบเลเซอร์ทรงพลังที่จะช่วยทำภารกิจป้องกันภัยทางอากาศและอีกหลายอย่าง
แต่ที่โดดเด่นจนคนพูดถึงกันหนาหูตั้งแต่ก่อนที่จีนจะเริ่มจัดพิธีสวนสนามเสียอีกคือ โดรนใต้น้ำขนาดใหญ่พิเศษ รูปทรงคล้ายตอร์ปิโด ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานนี้ 2 รุ่น โดย AJX002 มีขนาดเล็กกว่าอีกรุ่นเล็กน้อย ซึ่งนักวิเคราะห์ ประเมินว่า รุ่นนี้น่าจะใช้ทำภารกิจสอดแนม ขณะที่ HSU100 อาจใช้ในภารกิจวางทุ่นระเบิดในทะเล ซึ่งจริง ๆ แล้ว จีนไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเรื่องขีดความสามารถของอาวุธต่าง ๆ

ส่วนขีปนาวุธต่อต้านเรือในตระกูล YJ หรือ "อิงจี" ซึ่งหมายถึงการโจมตีของนกอินทรี เป็นขีปนาวุธที่ถูกจับตามองว่าจะเข้ามาปราบเรือของกองทัพสหรัฐฯ โดยที่เปิดตัวในพิธีสวนสนามจริงๆ มี 5 รุ่น คือ YJ-15 / YJ-17 / YJ-19 / YJ-20 และ YJ-21 ซึ่งตัวแรกจะเป็นขีปนาวุธซูเปอร์โซนิก ส่วนที่เหลือจะเป็นขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก

นักวิเคราะห์บางส่วน มองว่า การเปิดตัวอาวุธเหล่านี้ของจีนเท่ากับเป็นการเตือนกลาย ๆ ว่า เรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯ อาจจะตกเป็นเป้าการโจมตีได้ แม้ว่ากองทัพเรือสหรัฐฯ จะมีศักยภาพโดดเด่นจากการประจำการกองเรือบรรทุกเครื่องบินและกองเรือจู่โจมที่ล้ำสมัยที่สุดและใหญ่ที่สุดของโลกก็ตาม
แต่จีนเองก็ไม่น้อยหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีโดรน ซึ่งโครงการโดรนใต้น้ำขนาดใหญ่พิเศษของจีนในปัจจุบันถือเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยปัจจุบัน จีนประจำการโดรนประเภทนี้ในกองทัพแล้วอย่างน้อย 5 รุ่นด้วยกัน
นอกจากนี้จีนยังเปิดตัวหน่วยสนับสนุนอวกาศไซเบอร์สเปซและข้อมูลข่าวสาร ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการวางยุทธศาสตร์ของจีนในกรอบการสู้รบในอวกาศและสงคราม อิเล็กทรอนิกส์
ในระยะหลัง มีการพูดถึงกันมากในเรื่องของความก้าวหน้าและศักยภาพของกองทัพเรือจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของจำนวนเรือที่เข้าประจำการ ซึ่งจากข้อมูลที่สถาบันวิจัย CSIS ในสหรัฐฯ รวบรวมมา จะเห็นว่า จีนมีเรือประจำการมากแซงหน้าสหรัฐฯ แล้วตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา
โดยข้อมูลล่าสุดเมื่อปี 2566 จีนมีเรือ 332 ลำ ในขณะที่สหรัฐฯ มี 291 ลำ แต่จากการประเมินหลังจากนี้ จะเห็นว่า เรือจีนเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 435 ลำ ภายในปี 2573 สวนทางกับสหรัฐฯ ที่แทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงให้เห็นเลย โดยตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 294 ลำ ซึ่งนั่นเท่ากับว่า กองทัพเรือจีนมีเรือมากกว่าสหรัฐฯ ถึง 141 ลำ ถ้าสหรัฐฯ ยังไม่ยอมขยับตัวที่จะทำอะไร

แม้ว่าในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีอาวุธของสหรัฐฯ จะล้ำสมัยกว่าชาติอื่น ๆ และสามารถเติมเต็มช่องว่างของจำนวนเรือประจำการได้ แต่ถ้าหากมีการสู้รบกันขึ้นมาจริง ๆ การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะสามารถเร่งผลิตอาวุธขึ้นมาเติมเต็มในคลังแสงของตัวเอง เพื่อให้สามารถทำการรบยืดเยื้อได้ต่อไปเรื่อย ๆ จุดนี้ก็อาจจะเป็นข้อได้เปรียบสำคัญที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของสมรภูมิรบนั้น ๆ ได้เลยทีเดียว
เหมือนกับที่รัสเซียต้องซื้ออาวุธจากอิหร่านและเกาหลีเหนือเพื่อเดินหน้าโจมตียูเครน ในขณะที่ยูเครนได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก เนื่องจากกำลังการผลิตอาวุธประเภทต่าง ๆ มีไม่เพียงพอ นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ในช่วงนี้ เราจะเห็นว่า รัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามชักชวนเกาหลีใต้ให้เข้ามาช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมการต่อเรือในสหรัฐฯ
ผู้นำจีนตั้งเป้าพัฒนากองทัพให้ทันสมัยภายในปี 2578 แต่จะถึงขั้นแซงหน้ากองทัพสหรัฐฯ ในอนาคตได้จริงๆ หรือไม่ คงจะต้องรอดูกันต่อไปหลังจากนี้ โดยหมุดหมายสำคัญครั้งต่อไป คือ ในปี 2570 ซึ่งเป็นปีที่กองทัพจีนจะมีอายุครบ 100 ปีพอดี เกมนี้ต้องรอดูกันยาว ๆ เพราะการพัฒนาอะไรก็ตามต้องใช้เวลา
วิเคราะห์โดย : ทิพย์ตะวัน ธีรนัยพงศ์
อ่านข่าวอื่น :
ฮาร์วาร์ดชนะคดีทรัมป์ ศาลสั่งคืนเงินวิจัย 2,000 ล้านดอลลาร์
สี-ปูติน-คิม ร่วมพิธีสวนสนามจีน โลกจับตาความสัมพันธ์ 3 ผู้นำ
แท็กที่เกี่ยวข้อง: