วันนี้ (7 ก.ย.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สส.พรรคเพื่อไทย นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย เข้าชื่อยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ส่งคำร้องเรียนถึงศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพ สส.นายอนุทิน ชาญวีรกูล สส. พรรคภูมิใจไทย และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. พรรคประชาชน สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(3) ประกอบกับมาตรา 185 (1)(2) หรือไม่
ทั้งนี้ อ้างอิงถึงข้อตกลงระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย หรือ MOA กรณีการเลือกบุคคลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และอ้างถึงข้อเท็จจริงปรากฏว่าพรรคภูมิใจไทยได้รวบรวมเสียง สส.จากพรรคการเมืองอื่นได้ไม่เกิน 146 เสียงจาก สส. ที่มีอยู่ปัจจุบัน 492 คน เมื่อไม่สามารถหาเสียงในจำนวนที่มากกว่ากึ่งหนึ่งได้ จึงทำข้อตกลงร่วมกับพรรคประชาชน โดยตกลงกันว่า สส.พรรคประชาชนจะให้ความเห็นชอบนายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่พรรคประชาชนจะไม่ร่วมรัฐบาล ภายใต้เงื่อนไขที่พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยตกลงร่วมกัน
ตามคำร้องเห็นว่านายอนุทิน และนายณัฐพงษ์ กระทำการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง อาทิ การใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เห็นว่าตามบทบัญญัติของกฎหมาย สส.สว. ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือความครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์
แต่การทำข้อตกลงร่วมกันดังกล่าว และกำหนดเงื่อนไขของพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และพรรคร่วมรัฐบาลนั้น ต้องปฏิบัติหน้าที่หรือดำเนินการภายใต้เงื่อนไขที่พรรคประชาชนกำหนด ถือว่าเป็นการที่ สส. ของพรรคร่วมรัฐบาลต้องปฏิบัติหน้าที่โดยอยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือครอบงำของพรรคประชาชนเพื่อประโยชน์ของพรรคประชาชน โดยไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ

เมื่อพิจารณาเงื่อนไข MOA มีการกำหนดให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน ทั้งที่ระยะเวลาของสภาครบในเดือน พ.ค.2570 และยังมีการกำหนดห้ามไม่ให้พรรคภูมิใจไทยดำเนินวิธีการใด ๆ เพื่อทำให้เป็น รัฐบาลเสียงข้างมาก ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวขัดต่อหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะโดยปกติแล้วรัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินต้องมีเสียงข้างมากจากสภา เพื่อสร้างความมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน
นอกจากนี้ ยังอ้างว่าการกระทำของพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชนมีลักษณะเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกันให้นายอนุทินได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี อันเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ปี 2560 มาตรา 46 การกระทำดังกล่าวถือว่าพรรคภูมิใจไทยยินยอมหรือกระทำการอันทำให้พรรคประชาชนเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคภูมิใจไทย ทำให้ขาดความเป็นอิสระ
ขณะที่พรรคประชาชนกระทำการควบคุมหรือชี้นำกิจกรรมของพรรคภูมิใจไทย และ สส.ของพรรคภูมิใจไทย ทำให้พรรคและ สส.พรรคภูมิใจไทย ขาดความเป็นอิสระอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 28 และ 29 ของกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งการกระทำของทั้ง2 พรรคเป็นการกระทำอันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่กฎหมายบัญญัติไว้อันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1)(2)(3)
และยังเห็นว่าการกระทำของพรรคประชาชนใช้สถานะ สส. อันเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ผู้อื่น หรือของพรรคประชาชนในการปฏิบัติราชการของ ครม. และหน่วยงานของรัฐ ที่ต้องทำตามเงื่อนไขของพรรคประชาชน และต้องใช้ในการดำเนินการ เช่น การยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ การออกเสียงประชามติจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
อ่านข่าว : เปิดตัว "อรรถพล-เอกนิติ-สีหศักดิ์" ร่วม "ครม.อนุทิน 1"
"อนุทิน" เผยโผ ครม. 100% แล้ว - ทำงานทันทีหลังถวายสัตย์ปฏิญาณ
"ธรรมนัส" ปัดแย่งเก้าอี้ "กลาโหม" กับ "พล.อ.ประวิตร"