หลัง "อินเดีย"กลับมาทวงแชมป์ตลาดข้าวส่งออก เมื่อปลายปี 2567 จากที่เคยระงับการ "ส่งออก "เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เหตุข้อกังวลเรื่องการบริ โภค ภายในประเทศ ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้เกิดการแข่งขันอย่าง "ดุเดือด" โดยเหตุผลหลักที่ "อินเดีย" หวนกลับมาส่งออก"ข้าวขาว" นอกจากรับมือผลผลิตที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้ "ผู้ส่งออก"ต่างแข่งกันลดราคาเพื่อให้ได้ออเดอร์ และรักษาส่วนแบ่งตลาดไม่ให้เสียไป

ข้อมูลจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เผยว่า ราคาข้าวขาว 5% ของไทย วันที่ 30 ก.ค. 2568 อยู่ที่ 387 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนาม ลดลงไปอยู่ที่ 384-388 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน อินเดีย 377-381 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และปากีสถาน และ 376-380 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่วนราคาข้าวนึ่งไทยอยู่ที่ 402 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ข้าวนึ่งอินเดียและปากีสถานอยู่ที่ 377-381 และ 386-390 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
"อินเดีย" ยังครองแชมป์เบอร์ 1ส่งออกข้าวโลก
ส่วนประเทศที่ยังคงเป็นเบอร์หนึ่งของการส่งออกข้าว ยังคงเป็น อินเดีย โดย 6 เดือนแรก อินเดียส่งออกได้ 11.68 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 36.5% รองลงมาเป็นเวียดนาม ส่งอออกปริมาณ 4.72 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 3.6% ในขณะที่ไทยตกมาอยู่อันดับ ส่งออกปริมาณ 3.73 ล้านตัน ลดลง 27.3% ตามด้วยปากีสถาน ปริมาณ 2.76 ล้านตัน ลดลง 20.2% และสหรัฐฯ ส่งออกปริมาณ 1.40 ล้านตัน ลดลง 23.5%

ขณะที่ประเทศที่นำเข้าข้าวไทย 5 อันดับแรก อิรักยังคงเป็นตลาดหลักของไทย 6 เดือน อิรักนำเข้าข้าวไทย 582,703 ตัน หรือ 15.6% รองลงมาเป็นสหรัฐฯ ปริมาณ 430,603 ตัน หรือ 7.4% ในขณะที่ตลาดแอฟริกากลับนำเข้าข้าวไทยลดลง 2.5% หรือ 359,031 ตัน จีน นำเข้าข้าวไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 332,183 ตัน หรือเพิ่มขึ้น110% ละเซเนกัล นำเข้าลดลง 11.7% เหลือ 165,294 ตัน
พณ.ลุยตลาดข้าวญี่ปุ่น หวังรักษาส่วนแบ่งข้าวไทย
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า เพื่อรักษาตลาดข้าวญี่ปุ่น กรมฯนำคณะผู้ส่งออกข้าวไทยเดินทางไปพบปะหารือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับสินค้าข้าวของญี่ปุ่นในวันที่ 7 – 11 ก.ย. เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า และรักษาตลาดข้าวไทยในญี่ปุ่น ตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ที่มอบหมายให้กรมฯ รักษาปริมาณการส่งออกข้าวไปญี่ปุ่นที่ปีละประมาณ 300,000 ตัน

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
สำหรับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่นที่กรมฯ มีกำหนดจะนำคณะผู้ส่งออกข้าวไทยไปพบหารือในครั้งนี้ได้แก่ กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น (Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries: MAFF)ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐ ที่ทำหน้าที่กำหนดปริมาณการนำเข้าข้าวและกำกับดูแลการประมูลเพื่อนำเข้าข้าวของญี่ปุ่น บริษัท Overseas Merchandise Inspection Company (OMIC) ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบคุณภาพข้าวที่จะนำเข้าของญี่ปุ่นและผู้นำเข้าข้าวรายสำคัญ ของญี่ปุ่น
ประกอบด้วย บริษัท Kitoku Shinryo Co., Ltd. บริษัท ITOCHU Food Sales and Marketing Co., Ltd. และบริษัท Kanematsu Corporation รวมทั้งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวรายสำคัญของญี่ปุ่น ซึ่งต่างล้วนมีบทบาทสำคัญ ต่อการค้าข้าวของญี่ปุ่นและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฝ่ายไทยมาโดยตลอด

ญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้ผลิตและผู้นำเข้าข้าวรายสำคัญของโลก โดยแต่ละปีมีผลผลิตข้าว ประมาณ 7.28 – 7.64 ล้านตัน และมีความต้องการข้าวปีละมากกว่า 8 ล้านตัน โดยนำเข้าข้าวจากต่างประเทศปีละประมาณ 700,000 ตัน แหล่งนำเข้าที่สำคัญ คือ ไทย สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และจีน
สำหรับปีนี้ ญี่ปุ่นนำเข้าข้าวจากต่างประเทศ แล้วประมาณ 402,157 ตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน9.15% นำเข้าจากสหรัฐฯ มากที่สุด รองลงมา ได้แก่ ไทย ออสเตรเลีย และจีน ตามลำดับ ในส่วนการส่งออกข้าวไทยไปญี่ปุ่น ในแต่ละปีไทยส่งออกข้าวไปญี่ปุ่นประมาณ 257,000 – 336,000 ตัน ครองส่วนแบ่งตลาดนำเข้าข้าวของญี่ปุ่นประมาณ37 – 45%

"ญี่ปุ่น"กินข้าวเมล็ดสั้น 8 เดือน ไทยส่งออกวูบ19.36 %
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวอีกว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ไทยส่งออกข้าวไปญี่ปุ่น แล้วประมาณ 148,000 ตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19.36% ที่ส่งออกประมาณ 183,000 ตัน เนื่องจาก
ชาวญี่ปุ่นนิยมบริโภคข้าวเมล็ดสั้น (Japonica) เป็นอาหารหลัก แต่ในช่วงที่ผ่านมาญี่ปุ่นผลิตข้าวได้ไม่เพียงพอ กับความต้องการในประเทศ จึงต้องนำเข้าข้าวเมล็ดสั้นหรือเมล็ดกลางจากต่างประเทศเข้าไปทดแทนผลผลิตข้าวในประเทศ

ขณะที่ข้าวไทยที่ส่งออกไปญี่ปุ่นเป็นข้าวเมล็ดยาว ได้แก่ ข้าวขาว ข้าวเหนียว และข้าวหอมมะลิไทย ซึ่งส่วนใหญ่90% ของปริมาณข้าวไทยที่ส่งออกไปญี่ปุ่นถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เช่น ผลิตสาเก และขนมอบกรอบ เนื่องจากข้าวไทยเป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพและมาตรฐาน ส่วนข้าวไทยที่เหลืออี10% ถูกนำไปใช้ในครัวเรือนและร้านอาหารในญี่ปุ่น
แต่จุดเด่นของข้าวไทยโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิไทยในด้านความนุ่มความหอม และรสชาติเฉพาะตัวจึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคข้าวในญี่ปุ่น ดังนั้น การเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ นอกจากเพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าข้าวแล้ว ยังมุ่งหวังจะช่วยรักษาส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยในญี่ปุ่น และส่งเสริมปริมาณการส่งออกข้าวไทยไปญี่ปุ่นให้เพิ่มขึ้นด้วย
ลุยตลาด “ออสเตรเลีย”หวังโตในตลาดสุขภาพ
นอกจากนี้กรมฯเตรียมประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ Fine Food Australia 2025 ระหว่างวันที่ 8 – 11 กันยายน 2568 ที่นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นข้าวคุณภาพของไทย ไม่ว่าจะเป็น ข้าวหอมมะลิไทย ข้าวหอมไทย ในตลาดไฮเอนด์ออสเตรเลีย พร้อมนำข้าวสี อาทิ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวกล้องอีกหลายชนิด ส่งเสริมในตลาดสุขภาพที่มีแนวโน้มโตต่อเนื่องทุกปี ซึ่งในปีนี้เป็นการจัดงานฯ ครั้งที่ 41 ในปีที่ผ่านมามีผู้ประกอบการจากออสเตรเลียและประเทศต่างๆ จากทั่วโลกเข้าร่วมจัดแสดงสินค้ากว่า 900 ราย มีผู้สนใจจากภาคธุรกิจ ผู้นำเข้า ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก ตัวแทนจำหน่าย และผู้ประกอบการร้านอาหารกว่า 50,000 คนสนใจเข้าเยี่ยมชมงาน

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ออสเตรเลียนำเข้าข้าวจากต่างประเทศปีละประมาณ 250,000 ตัน ข้าวไทยครองอันดับ 1 ในตลาดออสเตรเลียมาอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% – 35% ของปริมาณข้าวที่ออสเตรเลียนำเข้าทั้งหมด ผู้บริโภคออสเตรเลียส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนชนชั้นกลางและกลุ่มผู้ที่มีรายได้สูง นิยมบริโภคข้าวพรีเมียมและข้าวคุณลักษณะพิเศษซึ่งเป็นข้าวที่นำเข้าจากต่างประเทศ การบริโภคข้าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยคาดว่าภายในปี 2574 อัตราการบริโภคข้าวจะสูงขึ้นถึง 21 กิโลกรัมต่อคนต่อปี จากอัตราเฉลี่ยปัจจุบันที่ประมาณ 19 กิโลกรัมต่อคนต่อปี อันเป็นผลมาจากการเติบโตของประชากรออสเตรเลียเชื้อสายเอเชีย อาทิ จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ที่มีสัดส่วนกว่า 17% ของประชากรออสเตรเลียทั้งหมด ประกอบกับนโยบายย้ายถิ่นฐานของออสเตรเลียที่สามารถดึงดูดผู้อพยพปีละไม่ต่ำกว่า 2 แสนคน

นอกจากออสเตรเลียจะเป็นตลาดศักยภาพที่มีกำลังซื้อสูงและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องแล้ว ปัจจุบันผู้บริโภคออสเตรเลียจำนวนมากยังหันมาสนใจด้านสุขภาพ และเลือกรับประทานข้าวที่มีสารอาหารสูงมากขึ้น การเข้าร่วมงาน Fine Food Australia 2025 ในครั้งนี้
เป็นโอกาสสำคัญในการประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่นคุณภาพมาตรฐานข้าวไทยและเครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทยให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากยิ่งขึ้น และจะได้นำเสนอข้าวชนิดอื่นๆ ที่ตรงกับความต้องการของตลาดในปัจจุบันคาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการบริโภคข้าวไทยเพิ่มขึ้นและเพิ่มโอกาสในการส่งออกข้าวสีของไทยไปยังตลาดออสเตรเลีย
จ่อบริการนวัตกรรมดิจิทัล ออกใบอนุญาตส่งออก-นำเข้า
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวอีกว่า กรมอยู่ระหว่างพัฒนาระบบการให้บริการออกใบอนุญาตและหนังสือรับรองการส่งออก-นำเข้าสินค้า ด้วยนวัตกรรมดิจิทัล (DFT SMART - Licensing) ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดระบบ DFT SMART - I ให้ไปสู่ระบบดิจิทัลอย่างครบวงจรโดยได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย เช่น เทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) และการแปลงไฟล์ภาพให้เป็นไฟล์ข้อความ (Optical Character Recognition : OCR) เป็นต้นเข้ามาประยุกต์ใช้ในการเพิ่มศักยภาพและเพิ่มผลสัมฤทธิ์ในการให้บริการ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับความสะดวกจากการขอรับบริการที่ดีมากขึ้นกว่าเดิม และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจส่งออก-นำเข้าสินค้ามีแผนจะเปิดให้บริการระบบดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในเดือน ก.ย.2568

ระบบ DFT SMART - I คือ ระบบที่กรมพัฒนาขึ้น เพื่อให้บริการผู้ประกอบการในการดำเนินการเกี่ยวกับ การส่งออกและนำเข้าสินค้าอย่างครบวงจร ตั้งแต่การขึ้นทะเบียนผู้ส่งออก ผู้นำเข้า การขอรับโควตา การยื่นขออนุญาตนำเข้า ส่งออกสินค้า ไปจนถึงการติดตามสถานะคำขอต่าง ๆ โดยผู้ประกอบการสามารถทำรายการทั้งหมดผ่านระบบออนไลน์ได้ด้วยตนเอง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.2566-ส.ค.2568 กรมได้ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าผ่านระบบ DFT SMART C/O รวม 12 ประเภท ได้แก่ 1.Form RCEP 2.Form อาเซียน-ฮ่องกง 3.Form อาเซียน-ญี่ปุ่น 4.Form อาเซียน-จีน 5.Form อาเซียน-เกาหลี 6.Form อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ 7.Form ไทย-เปรู 8.Form ไทย-ญี่ปุ่น 9.Form ไทย-ออสเตรเลีย 10.Form C/O ทั่วไป 11.e-Form D อาเซียน และ 12.Form C/O สินค้าส่งออกไป EU (ข้าว/มันสำปะหลัง/แป้งมันสำปะหลัง/ไก่/ปลา/ใบยาสูบ/หัตถกรรมทั่วไป/ผ้าไหมและผ้าฝ้ายทอด้วยมือ)
หนุนผู้ประกอบการใช้ DFT SMARTส่งออกสินค้า
นางอารดากล่าวว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา กรมนำคณะผู้บริหารลงพื้นที่ จ.กาญจนบุรี เพื่อเยี่ยมชม ผู้ผลิตและจำหน่ายเค้กเแช่แข็ง เค้กสำเร็จรูปทั่วไป เช่น เบเกอรี ไส้ผลิตภัณฑ์ ขนมทองม้วนกรอบ และเค้กฝอยทอง ซึ่งเป็นของฝากขึ้นชื่อของกาญจนบุรี ซึ่งบริษัทดังกล่าว เป็นตัวอย่างของผู้ประกอบการที่ใช้บริการขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าผ่านระบบ DFT SMART C/O เพื่อใช้ประกอบการส่งออกไปยังประเทศคู่เจรจาที่ไทยมี FTA ด้วย

ช่วงปี 2567-ส.ค.2568 มีบริษัทได้ขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า จำนวน 88 ฉบับ แบ่งเป็น FTA ไทย-ออสเตรเลีย จำนวน 41 ฉบับ Form C/O ทั่วไปจำนวน 33 ฉบับ Form AJ จำนวน 6 ฉบับ และ Form E จำนวน 8 ฉบับ มูลค่ารวม 1,594,800 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 52,628,415 บาท แบ่งเป็น FTA ไทย–ออสเตรเลีย มูลค่า 408,918 ดอลลาร์สหรัฐ Form C/O ทั่วไป มูลค่า 104,676 ดอลลาร์สหรัฐ Form AJ มูลค่า 968,089 ดอลลาร์สหรัฐ และ Form E มูลค่า 113,117 ดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าที่ขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า คือ ทองม้วนกรอบ
สำหรับจุดเด่นของระบบ DFT SMART C/O ผู้ประกอบการสามารถพิมพ์หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าที่เจ้าหน้าที่อนุมัติแล้วได้ด้วยตนเอง (Self-printing) ได้อย่างง่ายดายเพียงซื้อแบบพิมพ์หนังสือรับรองจากกรมผ่านเว็บไซต์ formstore.dft.go.th เพื่อนำไปพิมพ์ด้วยตนเอง รวมทั้งมีช่องทางการรับชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมารับหนังสือรับรองที่กรมฯ (No Visit) ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ ลดต้นทุน ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
อ่านข่าว:
ข้าวเปลือกร่วงต่ำสุดรอบ 20 ปี ชาวนาเกี่ยวสดหนีน้ำ ขายได้ตันละ 3,500-3,600 บาท
"อาร์เจนตินา" ประตูสู่ ลาตินอเมริกา โอกาส "ยานยนต์-อาหาร"ไทย
“เนื้อโคขุน” สุรินทร์ ของดีเมืองไทย รสชาตินุ่ม อร่อยลิ้น ไร้กลิ่นสาบ