แต่คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ เมื่อ 9 กันยายน 2568 กรณีบังคับโทษจำคุก 1 ปี จากเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่นับว่าเป็นการบังคับโทษตามกฎหมาย จึงมีคำสั่งให้บังคับโทษจำคุกนายทักษิณ 1 ปี เริ่มตั้งแต่ 9 กันยายน 2568 เป็นต้นไปนั้น
ยังสะท้อนข้อเท็จจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ในกรมราชทัณฑ์ และกระบวนการยุติธรรมมากมาย สมกับเป็นแดนสนธยาที่มืดดำ แต่ไหนแต่ไร
ไม่ว่าจะกรณี ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และอธิบดีกรมราชทัณฑ์ แม้จะมีอำนาจตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขัง ไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 แต่จะทำได้ ต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกฎหมาย ว่าด้วยการส่งผู้ตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำด้วย
ไม่ใช่ใช้อำนาจตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จะไม่ต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบความถูกต้องชอบด้วยกฎหมายโดยศาล
หรือกรณีทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง หรือไม่มีคลินิกโรคเฉพาะ อย่างโรคตับบีอักเสบ ซึ่งเป็น 1 ใน 10 โรคที่นายทักษิณป่วย แล้วมีความเห็นว่า จำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่ รพ.ภายนอกเรือนจำ ซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าในวันและเวลาราชการ แต่อยู่ในภาวะที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน
มีระบุตัวอย่างชัดเจนในคำพิพากษา ตอนหนึ่งว่า ข้อเท็จจริงจากพยาบาลเวร ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ที่นายทักษิณถูกส่งตัวเข้าเรือนจำวันแรก เมื่อถึงเวลา 22.00 น. นายทักษิณได้แจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอกและมีความดันโลหิตสูง
พยาบาลเวรทำบันทึกข้อความขอส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พัศดีเวรอนุญาต จากนั้น เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ได้ส่งตัวนายทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้ส่งตัวจำเลยไปที่ทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ ซึ่งมีแพทย์เวรประจำอยู่ในคืนนั้น
อีกทั้งทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ อยู่ห่างจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพเพียง 200 เมตร ซึ่งตามพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 และกฎกระทรวง มีสาระสำคัญเรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ จะต้องปฏิบัติเป็นลำดับขั้นตอน คือผู้ต้องขังที่ป่วย ต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ในสถานพยาบาลของเรือนจำโดยเร็วก่อน
จากนั้น เมื่อแพทย์ พยาบาล หรือพนักงานเรือนจำ ที่ผ่านการอบรมด้านการพยาบาล เห็นว่า ไม่ทุเลาหรือดีขึ้น จึงค่อยเสนอให้เจ้าพนักงานเรือนจำพาผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ และส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้
การส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวนอกเรือนจำทันที ไม่ผ่านไปทาง รพ.ราชทัณฑ์ก่อน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ
หรือกรณีส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวนอกเรือนจำแบบฉุกเฉิน โดยอ้างแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริงจากคำให้การพนักงานเรือนจำชุดควบคุม กลับพบว่า เมื่อส่งตัวไปถึง รพ.ตำรวจ ได้พานายทักษิณไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้น 14 ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉิน หรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับอาการที่อ้าง และขัดระเบียบ รพ.ตำรวจ ว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ที่กำหนดแนวทางการตรวจรักษา กรณีเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินข้อ 53 ว่า
ในกรณีนอกเวลาราชการ แพทย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินและอุบัติเหตุ จะเป็นผู้ให้การตรวจ รักษา และได้กำหนดแนวทางรับตัวผู้ป่วย ในข้อ 6 ว่า ให้รับตัวผู้ป่วยคดีไว้ที่ห้องผู้ป่วย ที่รพ.ตำรวจจัดไว้สำหรับผู้ต้องหา ผู้ต้องขังหรือนักโทษ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) จะพิจารณาอนุญาตเป็นอย่างอื่น
ยังไม่นับความเห็นจากนายแพทย์ในคืนที่รับตัว ซึ่งสรุปได้ว่า เมื่อตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา พบว่า วันที่ 23 สิงหาคม 2566 ที่มีการส่งตัวนายทักษิณ ไปที่ รพ.ตำรวจ โดยอ้างว่า เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น กลับไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาตรวจดูอาการในทันที แต่กลับมาตรวจวันที่ 24 สิงหาคม2566 หรือผ่านพ้น 24 ชั่วโมงไปแล้ว
ประกอบกับผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ ได้สรุปว่า ที่ รพ.ราชทัณฑ์ มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และมียาขยายหลอดลม และยาลดความดันโลหิต ที่ใช้รักษานายทักษิณตามเวชระเบียนของรพ.ตำรวจ วันที่ 23 สิงหาคม 2566 แสดงให้เห็นว่า อาการของนายทักษิณในคืนเกิดเหตุ อยู่ในศักยภาพที่ทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จำต้องส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำ
และในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 นายทักษิณไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอกจริง แต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ใช้เป็นข้ออ้างในการส่งตัวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ
แม้แต่ข้ออ้างต้องเข้ารับการผ่าตัดเร่งด่วน และเป็นผู้ป่วยวิกฤติต้องอยู่ใกลชิดแพทย์ตลอด เพราะสุ่มเสี่ยงอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต แต่ในใบแสดงความเห็นแพทย์ กลับพบว่าเป็นเพียงการผ่าตัดนิ้วล็อก และผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาฉีกขาด เพราะนายทักษิณเกิดอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่รพ.ตำรวจ
แต่ไม่ใช่สาเหตุการป่วยที่ใช้อ้างในส่งตัวไปรักษาที่ รพ.ตำรวจ แบบหนังคนละม้วน
ส่วนการผ่าตัดกระดูกคอเสื่อม ซึ่งแพทย์ได้เสนอให้ทำภายหลังไปอยู่ที่ รพ.ตำรวจ แต่นายทักษิณกลับปฏิเสธการผ่าตัด และจนแล้วจนรอด ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทนายทักษิณ แต่อย่างใด กระทั่งออกจาก ชั้น 14 รพ.ตำรวจ
สะท้อนความผิดปกติ และการใช้ช่องโหว่ช่องว่าง และข้ออ้างต่าง ๆ ในการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจน แม้ในกลุ่มผู้ต้องหาหรือนักโทษ
คำถามสำคัญ หากไม่มีคดีนี้เกิดขึ้น ความเร้นลับมืดดำในกรมราชทัณฑ์ และกระบวนการยุติธรรมในขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง จะถูกล้วงความจริงออกมาเปิดเผยได้หรือไม่ อย่างไร
นายทักษิณ เมื่อถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ นำตัวขึ้นรถตู้สีขาวมุ่งหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ หลังศาลพิพากษาจึงดูไม่ค่อยมีคนแสดงความเห็นใจมาก ๆ อย่างที่ควรจะเป็น
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : “บิ๊กเล็ก” รับนโยบายจาก “อนุทิน” เดินหน้าแก้ชายแดนใน 4 เดือน
สธ.เตือนอย่าบูลลี "ผู้ป่วยซึมเศร้า" จิตแพทย์แนะสร้างภูมิคุ้มกันทางใจ
เปิดคำสั่งศาลฯ "ฉบับเต็ม" บังคับโทษ "ทักษิณ" คดีชั้น 14 ให้นำตัวกลับเข้าเรือนจำ