วันนี้ (11 ก.ย.2568) นายนิกร จำนง อดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กล่าวว่า ตนในฐานะอดีตที่ปรึกษานายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ร่วมทำงานช่วงปีการผลักดันให้มีองค์กรจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม ของประชาชนจากทุกจังหวัด
บวกกับนักวิชาการจากทุกสถาบัน แล้วให้ความเห็นชอบสุดท้ายจากรัฐสภา เกิดเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. ดำเนินการจนเกิดเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี 2540 แม้ต่อมาไม่ปรับปรุงแก้ไข จนมีปัญหาแล้วถูกฉีกทิ้งไปในที่สุด แต่ก็ยังถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ดังนั้นการเมืองไทย ก็น่าจะดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวอีกครั้ง ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่ไม่ขัดหรือแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 9/2568 ที่เพิ่งออกมา แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็มีแนวทางที่จะดำเนินการ ให้มีการเริ่มต้นจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนในขั้นแรก คือการให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นคำถามหลักข้อแรก และอาจพร้อมด้วยคำถามที่ 2 ตามมาเกี่ยวกับวิธีการและเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ซึ่งคงได้แค่นี้ภายในเวลาที่จำกัดของรัฐสภาชุดปัจจุบัน ตามสถานะข้อตกลงทางการเมืองที่ถูกกำหนดไว้แล้ว และอาจสามารถจัดทำประชามติดังกล่าวนี้ พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่น่าจะเกิดขึ้นประมาณปลายเดือนเมษายน 2569
นายนิกร กล่าวว่า ในฐานะผู้มีความคาดหวังอยากให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มาจากประชาชน อันมีเป้าหมายสูงกว่ารัฐธรรมนูญปี 40 ที่ออกมาเพื่อการปฏิรูปการเมือง แต่ฉบับใหม่นี้ ควรมีเป้าหมายเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ให้หลุดจากวิกฤตในเกือบทุก ๆ ด้านให้ได้ โดยอาศัยประชาชนร่วมกับรัฐสภา จึงขอร่วมเสนอกรอบแนวทาง และกรอบเวลาให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายได้ประกอบการพิจารณาร่วมกันผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พึงประสงค์ดังนี้
1.ให้คณะรัฐมนตรี หรือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคร่วมรัฐบาล จำนวนไม่น้อยกว่า 100 คน ร่วมกันเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาเป็น 3 วาระ ตามมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญโดยให้เป็นไปตามเงื่อนไขของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
2.เมื่อรัฐสภาเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมแล้วให้รอไว้ 15 วัน จึงให้ประธานรัฐสภาส่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายต่อไปตามข้อบังคับการประชุม ข้อ 134 แต่อย่างไรก็ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 135 ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็น การแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จึงต้องมีการจัดทำประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
3.ให้ประธานรัฐสภาดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ คือ ดำเนินการตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 คือ ให้ประธานรัฐสภาแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบว่า มีกรณีต้องออกเสียงประชามติตามมาตรา 9 (1) และให้นายกรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการกำหนดวันออกเสียงตามที่ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งต้องไม่เร็วกว่า 90 วัน และไม่ช้ากว่า 120 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา
กรณีพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติฉบับแก้ไขเพิ่มเติมมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย ให้มีการกำหนดวันออกเสียงตามที่ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งต้องไม่เร็วกว่า 60 วัน และไม่ช้ากว่า 150 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา โดยให้ประธานรัฐสภาส่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมและสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม โดยสรุปในลักษณะที่ประชาชนจะสามารถเข้าใจเนื้อหาสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้โดยสะดวกให้นายกรัฐมนตรีทราบพร้อมส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการต่อไป
4.รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้คงสามารถดำเนินการได้แค่นี้เท่านั้น ที่เหลือเมื่อยุบสภาแล้วการทำประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ก็ดำเนินการต่อเนื่องไป ถ้าประชามติข้อแรกโดยประชาชนเห็นชอบกับการให้จัดให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านไปได้ ก็ต้องดูว่า รายละเอียดข้อ 2 ที่สมควรมี สสร.จากการเลือกตั้งโดยอ้อม แบบคล้ายกับตอนปี 2540 ผ่านหรือไม่ ถ้าผ่านก็จะมีการดำเนินการให้มีสสร.มาร่วมกับรัฐสภาชุดใหม่หลังการเลือกตั้งดำเนินการต่อไปจนได้รัฐธรรมนูญของประชาชนฉบับใหม่ที่ทุกคนเฝ้ารอ
อ่านข่าว :
แท็กที่เกี่ยวข้อง: