ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เดิมพันสำคัญ "ร่างกม. PRTR" เปิดข้อมูลมลพิษ ต้องผ่านก่อนยุบสภา

เดิมพันสำคัญ "ร่างกม. PRTR" เปิดข้อมูลมลพิษ ต้องผ่านก่อนยุบสภา

การเข้ามาของกลุ่มโรงงานทุนจีนจำนวนมากในพื้นที่ภาคตะวันออก ไม่มีใบอนุญาต ประกอบกิจการไม่ตรงปก ขยายพื้นที่ประกอบกิจการเกินกว่าที่ขออนุญาตไว้ มาพร้อม ๆ กับกากของเสียอันตรายขยะอิเล็กทรอนิกส์ จากการลักลอบนำเข้าประเทศถูกทิ้งให้ปนเปื้อนอยู่ในดิน น้ำ อากาศ อย่างไร้มาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของชาวบ้านในระยะยาว ถือเป็นวาระเร่งด่วนที่รัฐบาล "อนุทิน ชาญวีรกูล" ต้องรีบแก้ไข โดยเฉพาะการผ่านร่าง พ.ร.บ.เปิดข้อมูลมลพิษ PRTR ให้ทันก่อนการยุบสภา

ปรากฎการณ์ลักลอบทิ้งและฝังกลบกากอุตสาหกรรมจากโรงงานกลุ่มรับกำจัดหรือบำบัดของเสียที่กระจายไปหลายจังหวัด ราชบุรี ระยอง ชลบุรี ปราจีนบุรี สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา เกิดเหตุขึ้นต่อเนื่องตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา

การฟื้นคืนชีพของวัตถุอันตรายชื่อ แคตเมียม ปริมาณ 15,000 ตัน ที่ถูกขุดขึ้นมาจากหลุมฝังกลบใน จ.ตากและมีการเคลื่อนย้ายไปยังโรงงานรีไซเคิลใน จ.สมุทรสาคร ก่อนจะนำบางส่วนไปเก็บในพื้นเขต กทม.และโรงงานทุนจีนเถื่อน ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ยังไม่รวมถึงการปล่อยมลพิษออกจากโรงงาน การปล่อยน้ำเสีย จากโรงงานทั่วไปและในเขตอุตสาหกรรม

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนหนึ่งถูกเปลี่ยนสถานะให้กลายเป็นผู้เสียหายอย่างไม่เต็มใจ ไม่เคยมีโอกาสได้รับรู้มาก่อนเลยว่า วัตถุอัน ตรายหรือสารเคมีต่าง ๆ เหล่านั้นมาก่อมลพิษต่อชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่ได้อย่างไร

ร่างพระราชบัญญัติการรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษหรือที่เรียกกันว่า กฎหมาย PRTR (Pollutant Release and Transfer Register) จึงถูกผลักดันจากองค์กรภาคประชาชนเพื่อให้มีกฎหมายในระดับ"พระราชบัญญัติ"บังคับใช้ในภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลภาคอุตสาหกรรม

โดยต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งการปลดปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษในประเทศไทยให้อยู่ในรูปแบบของ"ข้อมูลเปิด"(Open Data)เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้จากเดิมที่เห็นกันเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการกับเจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

รับหลักการ "ร่างพรบ.PRTR" โจทย์ท้าทาย รัฐบาลใหม่

เช้าวันที่ 5 กันยายน 2568 ก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 เป็นนายอนุทิน ชาญวีรกูล ... เป็นวันที่ต้องถูกบันทึกไว้ด้วยว่าร่าง พรบ.PRTR ผ่านความเห็นชอบในวาระที่ 1 ของสภาผู้แทนราษฎรไทยเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภาได้เป็นครั้งแรก ... แต่การรับหลักการร่าง พรบ.PRTR ในวันนั้น มาพร้อมโจทย์ที่ท้าทายเป็นอย่างมากเพราะจะต้องทำงานเพื่อผลักดันให้ได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายอยู่ภายใต้เงื่อนไขของการมีรัฐบาลใหม่ นายกรัฐมนตรีใหม่ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งมีสัญญาประชาคมไว้ว่า เป็นรัฐบาลที่จะมีอายุการทำงานเพียง 4 เดือนเท่านั้น

เรามีความจำเป็นที่จะต้องทำให้ ร่าง พรบ.PRTR ผ่านกระบวนการของสภาฯให้ได้ก่อนยุบสภา

ชำนัญ ศิริรักษ์ ทนายความของประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในหลายพื้นที่ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษ (PRTR) อธิบายถึงเป้าหมายซึ่งกรรมาธิการในสัดส่วนจากภาคประชาชนต้องพยายามทำให้ได้ หากต้องการให้ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติฉบับนี้

"PRTR เป็นกฎหมายที่สำคัญมากซึ่งภาคประชาชนที่ผลักดันกฎหมายนี้ต้องใช้ความอดทนรอมานานมากกว่าจะได้เข้ามาสู่กระบวนการพิจารณาของสภา"

ทนายชำนัญ อธิบายต่อว่า โจทย์หลักของกรรมาธิการจากภาคประชาชนทุกคน คือ ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อให้กระบวนการพิจารณาร่าง พรบ.PRTR ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาทั้ง 3 วาระ และประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายให้ได้ภายใน 4 เดือน เพราะต้องยอมรับว่า ประเทศไทยยังตกอยู่ในสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน

ถ้ายุบสภา แต่ร่างกฎหมายยังไม่ผ่าน จะถือว่าร่างกฎหมายนั้นตกไปเลย ถ้าจะนำมาพิจารณาใหม่ เราก็ต้องเริ่มกระบงวนใหม่ทั้งหมดตั้งแต่แรก คือ ยังไม่มีร่างกฎหมายนี้อยู่ในสภาฯ

"และหากต้องมาเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกรอบไม่สามารถบอกได้เลยว่าร่าง พรบ.PRTR จะกลับเข้ามาในสภาฯอีกเมื่อไหร่ เพราะยากคาดเดาว่าสถานการณ์การเมืองหลังจากการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นอย่างไร เรายังไม่รู้โครงสร้างทางการเมืองใหม่อย่างไรจะได้พรรคการเมืองไหนเป็นผู้นำรัฐบาล ถ้าต้องกลับไปเสนอร่างพระราชบัญญัติให้ผ่านคณะรัฐมนตรีใหม่ แต่เป็นรัฐบาลจากพรรคการเมืองที่มีกลุ่มทุนสนับสนุนเป็นหลัก ก็อาจยากที่จะนำกฎหมายกลับเข้าสู่สภาได้อีก"

ในสัดส่วนคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พรบ.PRTR ที่มาจากภาคประชาชน นอกจากทนายความในคดีลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมอย่างทนายชำนัญ ยังมีผู้แทนจากองค์การพัฒนาเอกชนที่ร่วมกันรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อเสนอกฎหมาย คือ ผู้แทนจากมูลนิธิบูรณะนิเวศ ผู้แทนจากมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม ผู้แทนจากกรีนพีซ ประเทศไทย 

ทนายชำนัญ ระบุว่า มีภารกิจร่วมกันคือ นอกจากจะต้องพยายามทำงานในชั้นกรรมาธิการเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายให้ได้อย่างรวดเร็ว ยังต้องพยายามรักษาสาระสำคัญตามเจตนารมณ์ของการเสนอกฎหมายฉบับนี้ไว้ให้ได้ คือ ต้องทำให้ข้อมูลทั้งการปล่อยมลพิษและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษ เป็นข้อมูลเปิดที่ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทั้งหน่วยงานรัฐและภาคเอกชน

"ถ้ากฎหมาย PRTR มีผลบังคับใช้ แน่นอนจะส่งผลกับกลุ่มผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมซึ่งจะต้องรายงานข้อมูลมลพิษตามกฎหมาย ทำให้มีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น หรือสิ่งที่เคยปกปิดต้องถูกเปิดเผยออกมา ถือเป็นเป้าหมายใหญ่ของภาคประชาชนและอาจเป็นประเด็นที่จะถูกแก้ไขจากภาค อุตสาหกรรมได้เช่นกัน ดังนั้นกรรมาธิการในสัดส่วนของภาคประชาชนที่ร่วมเสนอร่าง พรบ.PRTR จึงต้องพยายามรักษาหลักการใหญ่นี้ไว้ให้ได้"

หัวใจสำคัญ" เปิด "ข้อมูลมลพิษ" ทั้งหมด

อัมรินทร์ สายจันทร์ ผู้ช่วยผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) เป็นอีกหนึ่งตัวแทนภาคประชาชนที่ถูกเสนอชื่อเข้าไปเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พรบ.PRTR ให้ข้อมูลว่า กระทรวงอุตสาหกรรมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พยายามนำเสนอมาตลอดว่า มีกลไกที่สามารถเปิดเผยข้อมูลมลพิษได้อยู่แล้วผ่านการออกเป็นประกาศกระทรวง โดยไม่จำเป็นต้องมี พรบ.PRTR จึงคาดว่า อาจเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องแลกเปลี่ยนและหาข้อสรุปกันให้ได้โดยเร็ว เพราะภาคประชาชนยังยืนยันว่า มีความแตกต่างอยู่มากระหว่างการออกเป็นประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม กับการประกาศเป็นพระราชบัญญัติที่มีผลบังคับใช้กับทุกหน่วยงาน

"ที่ผ่านมา มันมีประเด็นเรื่องความซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นมาเป็นข้อโต้แย้งอยู่บ้าง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรมเขาก็บอกว่า การเปิดข้อมูลมลพิษเป็นสิ่งที่เขากำลังจะทำเองอยู่แล้ว ซึ่งเขาก็มองว่านั่นคือ PRTR"

"แต่ในมุมของภาคประชาชน เราก็เห็นว่า เพียงแค่การออกเป็นประกาศกระทรวง คงไม่ครอบคลุมหลักการทั้งหมดของ PRTR ได้อย่างแท้จริง เพราะหลักการของ PRTR ที่เราเน้นย้ำคือ การเปิดเผยข้อมูลมลพิษทั้งหมดต้องทำให้ประชาชนเห็นสามารถเข้ามามองเห็นได้ ซึ่งตรงนี้อาจจะยังไม่เหมือนกัน หรือหากเป็นการใช้เพียงแค่ประกาศกระทรวง ไม่ใช่พระราชบัญญัติ หากมีกรณีที่จะต้องไปขอข้อมูลจากหน่วยงานอื่นนอกเหนือไปจากหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรม จะได้รับความร่วมมือแค่ไหน...ดังนั้นจึงยืนยันว่า PRTR ต้องเป็นพระราชบัญญัติ"

ผู้แทนจาก EnLAW เห็นว่า . น่าจะมีบทบาทกับการพิจารณาร่าง พรบ. PRTR แน่นอน เพราะมีสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีอยู่ในคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ด้วย ... แต่ยังเชื่อว่า ร่าง พรบ.PRTR น่าจะผ่านไปได้ เพราะร่างที่นำมาพิจารณาคือของพรรคประชาชน กับร่างของภาคประชาชน มีความใกล้เคียงกันมาก จึงน่าจะทำให้จบก่อนยุบสภาได้

หาก PRTR ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาและประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายใหม่ได้จริง จะต้องตั้งคณะกรรมการที่มีชื่อว่า คณะกรรมการข้อมูลการรายงานและการปลดปล่อยสารมลพิษ ซึ่งจะเป็นผู้กำหนดรายชื่อของสารมลพิษที่จะต้องรายงานและขั้นตอนการพิจารณาคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลมลพิษ โดยหน่วยงานสำคัญที่จะมีบทบาทในการรับรายงานข้อมูลมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมเอกชนและจากกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อนำข้อมูลมาทำเป็นฐานข้อมูลกลางและเปิดเผยต่อสาธารณะ คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาดว่า อาจจะเป็นภารกิจใหม่ของกรมควบคุมมลพิษ

ประเด็นสำคัญ ที่ต้องจับตามอง ในระหว่างการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.PRTR คือ การกำหนดสัดส่วนของคณะกรรมการข้อมูลการรายงานและการปลดปล่อยสารมลพิษ กับ การกำหนดบทบาทและความพร้อมของกรมควบคุมมลพิษให้สามารถขับเคลื่อนกฎหมายได้จริง

รายงาน บรรยากาศโดยรวม พยายามดีไซน์คณะกรรมการการรายงานและการปลดปล่อยสารมลพิษ ควรมีสัดส่วนอย่างไร พิจารณาไปประมาณ 2 หมวด มีรายละเอียดที่ภาคประชาชนกังวล 1 เจตนารมณ์ คือ สัดส่วนที่มาของคณะกรรมการ 2 ความพร้อมของหน่วยงานในการบังคับใช้ (อยู่ภายใต้ คพ.) ฐานข้อมูลกลางที่กรมควบคุมมลพิษ(คพ.) ทำ จะถูกนำไปเปิดเผยในทุกหน่วยงาน

ดังนั้นต้องใช้ได้จริงและเหมาะสม และลักษณะของสารมลพิษที่จะถูกกำหนดให้เข้าตามกฎหมาย ... เขียนเป็นกลุ่ม ทำให้อาจถูกตีความบิดเบือน

รายงานโดย: สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา สื่อมวลชนอิสระ

อ่านข่าว

เขื่อนกำลังจะเต็ม สถานการณ์น้ำ 2568 รัฐบาลไทยทำอะไรได้บ้าง?

"เลือก สมาชิกสภาฯชาติพันธุ์" ผ่านโค้งอันตราย กฎหมายชาติพันธุ์