สถานการณ์น้ำรายวัน รายงานโดยกรมชลประทาน วันพุธที่ 17 กันยายน 2568 ระบุว่า เขื่อนที่มีลักษณะเป็น “อ่างเก็บน้ำ” ที่สำคัญ 4 แห่งของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มีปริมาตรน้ำในเขื่อนอยู่ในระดับ “มาก” และเหลือพื้นที่รับน้ำได้อีก “ไม่มากนัก”
เขื่อนภูมิพล จ.ตาก (แม่น้ำปิง) มีปริมาตรน้ำอยู่ในเขื่อน 10,514 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 78% ของความจุเขื่อน ... มีน้ำไหลเข้าเขื่อน 57.82 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ... ระบายน้ำออกจากเขื่อน 10 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน และสามารถรองรับน้ำได้อีก 2,948 ล้าน ลบ.ม.

เขื่อนเจ้าพระยา
เขื่อนเจ้าพระยา
เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ (แม่น้ำน่าน) มีปริมาตรน้ำอยู่ในเขื่อน 8,350 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 88% ของความจุเขื่อน ... มีน้ำไหลเข้าเขื่อน 35.34 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ... ระบายน้ำออกจากเขื่อน 19.97 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน และสามารถรองรับน้ำได้อีก 1,160 ล้าน ลบ.ม.
เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก (แม่น้ำน่าน) มีปริมาตรน้ำอยู่ในเขื่อน 771 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 82% ของความจุเขื่อน ... มีน้ำไหลเข้าเขื่อน 14.77 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ... ระบายน้ำออกจากเขื่อน 13.37 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน และสามารถรองรับน้ำได้อีก 168 ล้าน ลบ.ม.
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี (แม่น้ำป่าสัก) มีปริมาตรน้ำอยู่ในเขื่อน 637 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 66% ของความจุเขื่อน ... มีน้ำไหลเข้าเขื่อน 50.49 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ... ระบายน้ำออกจากเขื่อน 21.61 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน และสามารถรองรับน้ำได้อีก 323 ล้าน ลบ.ม.
เมื่อดูโดยภาพรวมจะเห็นได้ว่า ทั้ง 4 เขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้า พระยา มีน้ำเก็บกักอยู่ในเขื่อนในปริมาณมากแล้ว ทั้ง 4 เขื่อน มีปริมาณน้ำไหลเข้าในแต่ละวันมากกว่าน้ำที่สามารถระบายออกไปได้
จุดที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษอยู่ที่ เขื่อนสิริกิติ์ เพราะเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ที่มีผลต่อการจัดการน้ำในแม่น้ำน่านต่อเนื่องไปแม่น้ำยม ก่อนจะไปรวมกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา แต่สามารถรองรับน้ำได้อีกเพียงประมาณ 1,100 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น ประกอบกับยังมีฝนตกอย่างต่อเนื่องที่เหนือเขื่อน ทำให้มีน้ำจากแม่น้ำน่านไหลเข้าเขื่อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากเกิดพายุพัดผ่านในบริเวณภาคเหนือหรือภาคกลางตอนบนขึ้นมาอีก สถานการณ์ของเขื่อนสิริกิติ์ก็จะดูยุ่งยากขึ้นมา

เขื่อนสิริกิติ์
เขื่อนสิริกิติ์
ข้อมูลจากสถานีวัดระดับน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา วันที่ 18 กันยายน 2568 ยังระบุว่า จุดที่น้ำในลำน้ำมีระดับสูงกว่าตลิ่งมากที่สุด 2 จุดแรก อยู่ท้ายเขื่อนสิริกิติ์ ที่ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก มีระดับน้ำสูงกว่าตลิ่งถึง 2.81 เมตร และ 2.70 เมตร และมีพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมแล้วที่ อ.บางกระทุม อ.บางระกำ อ.พรหมพิราม อ.เมือง จ.พิษณุโลก และ อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ ... นั่นแปลว่า หากจะเพิ่มอัตราการระบายน้ำออกจากเขื่อนสิริกิติ์ในช่วงนี้ ก็อาจเป็นไปได้ยาก
เขื่อนเจ้าพระยา "น้ำเหนือ" หนุนต่อเนื่อง
ข้ามมาที่ “เขื่อนเจ้าพระยา” จ.ชัยนาท ซึ่งไม่ได้มีลักษณะเป็นอ่างเก็บน้ำ แต่เป็นเขื่อนทดน้ำ ทำหน้าที่ควบคุมการไหลผ่านของแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังที่ราบลุ่มภาคกลาง ข้อมูลวันที่ 17 กันยายน 2568 มีอัตราการไหลของน้ำที่เหนือเขื่อนอยู่ที่ 2,237 ลบ.ม.ต่อวินาที ... ระบายน้ำผ่านลงมาท้ายเขื่อนในอัตรา 2,050 ลบ.ม.ต่อวินาที (16 กันยายน 2568 ปล่อยน้ำ 2,000 ลบ.ม.ต่อวินาที) ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและพื้นที่ลุ่มต่ำหลายจุดใน จ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยาแล้ว

เขื่อนเจ้าพระยา
เขื่อนเจ้าพระยา
จะเห็นได้ว่าที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา ก็มีปริมาณ “น้ำเหนือ” ลงมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเขื่อนเจ้าพระยาต้องปรับเพิ่มอัตราการระบายน้ำเช่นกัน
“สถานการณ์น้ำในปีนี้อยู่ในช่วงที่ควรจะต้องเป็นกังวลอย่างมากแล้ว” ... ผู้เขี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลน้ำคนหนึ่งให้ความเห็นพร้อมอธิบายข้อมูลประกอบ
“มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมีพายุพัดผ่านเข้าประเทศไทยในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ โดยมีแนวโน้มที่จะเข้าไทยทางพื้นที่อีสานตอนบน จากนั้นจะพัดผ่านบริเวณภาคเหนือตอนล่างหรือถูกลมกดลงมายังที่ราบลุ่มภาคกลางโดยตรงซึ่งไม่ว่าจะผ่านเส้นทางไหนก็จะส่งผลกระทบมากทั้งสิ้น”
ผู้เชี่ยวชาญข้อมูลน้ำ ขอให้กลับไปดูปริมาณน้ำในเขื่อนหลักเป็นข้อมูลประกอบระหว่างการอธิบายเพิ่ม
“เราจะเห็นว่าเขื่อนสิริกิติ์เป็นจุดที่น่าเป็นห่วงเพราะรับน้ำได้อีกเพียงประมาณ 1,000 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น เพราะโดยปกติแล้ว ถ้ามีพายุเข้าที่เหนือเขื่อนโดยตรงจะได้น้ำเข้าเขื่อนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้าน ลบ.ม.ทุกครั้ง อย่างกรณี “พายุวิภา” ที่เพิ่งผ่านไปทำให้มีน้ำเข้าเขื่อนสิริกิติ์ถึงประมาณ 2,000 ล้าน ลบ.ม. ... ดังนั้นหากได้รับน้ำอีกในระกับ 1,000 ล้านจากพายุอีกลูกอาจทำให้เขื่อนสิริกิติ์เต็มหรือล้น และต้องระบายน้ำลงมาท้ายเขื่อนในอัตราที่สูงขึ้นมาก ในขณะที่พื้นที่ท้ายเขื่อนเองก็มีน้ำมากอยู่แล้ว”

เขื่อนสิริกิติ์
เขื่อนสิริกิติ์
“ ในระหว่างที่ยังไม่มีพายุลูกใหม่เข้ามา ทั้งเขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนภูมิพล และเขื่อนแควน้อยฯ ก็ต้องพยายามปรับลดอัตราการระบายน้ำลงจากเดิมอยู่แล้ว ทั้งที่มีน้ำไหลเข้าเขื่อนมาก เพราะต้องลดปริมาณน้ำไม่ให้สูงขึ้นมากจนเกินไปที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท เพื่อไม่ให้เขื่อนเจ้าพระยาต้องเพิ่มอัตราการระบายน้ำอีก เพราะที่ระบายน้ำประมาณ 2,000 ลบ.ม.ต่อวินาที ก็ทำให้ด้านล่างรับภาระหนักมากอยู่แล้ว”
“สถานการณ์ปีนี้ประเทศไทยอาจจะเจอน้ำท่วมคล้ายปี 2565” ผู้เชี่ยวชาญประเมินสถานการณ์
ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ อธิบายต่อว่า สถานการณ์เมื่อปี 2565 กับ 2568 อาจจะต่างกันมากเพราะในปี 2565 มีฝนตกมากมาตั้งแต่เดือนเมษายนจากปรากฎการณ์ลานีญาในพื้นที่อีสานใต้และที่ราบลุ่มภาคกลางโดยตรงบวกกับอิทธิพลจากพายุโนรู ทำให้เกิดน้ำท่วมหนักที่ภาคกลางและที่ จ.อุบลราชธานี แต่น้ำในเขื่อนไม่ได้มีปริมาณสูง
แต่ปีนี้ (2568) ฝนตกหนักตั้งแต่ต้นฤดูฝนที่ภาคเหนือ ทำให้เขื่อนขนาดใหญ่มีปริมาณน้ำเก็บกักค่อนข้างมาก ลากมาจนถึงปลายฤดูฝนโดยที่ไม่ได้ระบายน้ำออกจากเขื่อน ดังนั้นเมื่อมีพายุเกิดขึ้นอีกก็มีแนวโน้มว่าเขื่อนจะต้องเพิ่มอัตราการระบายน้ำ แม้พื้นที่ด้านล่างจะมีน้ำมากอยู่แล้ว ดังนั้นแม้สถานการณ์จะต่างกัน แต่มีแนวโน้มว่าจะเกิดน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลางคล้ายกัน

“ถ้ามีพายุเกิดขึ้นปลายเดือนกันยายนนี้ตามแบบจำลอง สถานการณ์ในลุ่มเจ้าพระยาจะค่อนข้างแย่ ... และยังต้องลุ้นว่าจะต้องไม่มีพายุเกิดขึ้นอีกในเดือนตุลาคม ส่วนสถานการณ์วันนี้การเร่งดันน้ำให้ลงทะเลไปก่อนก็ทำได้ยากแล้วเพราะน้ำทะเลหนุน แถมแม่น้ำลำคลองในเวลานี้เต็มไปด้วยผักตบชวา ... สิ่งที่ทำได้ในช่วงนี้ จึงน่าจะเป็นการเตรียมให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงมีความพร้อมที่จะอยู่ในภาวะภัยพิบัติมากกว่า” ผู้เชี่ยวชาญ สรุป
"ภัยพิบัติ" รัฐต้องบริหารให้ประชาชนอยู่ได้ช่วงเผชิญภัย
“เมื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติไม่ได้ รัฐก็ต้องบริหารจัดการให้ประชาชนอยู่ได้ในช่วงเผชิญภัย และลดความสูญเสียให้น้อยที่สุด”
ความเห็นจาก ไมตรี จงไกรจักร์ ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท ในฐานะอดีตผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ ซึ่งใช้เวลาเกือบ 20 ปี หลังเกิดสึนามิทำงานศึกษาลักษณะการเกิดภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยงทุกภูมิภาคของประเทศไทยและร่วมผลักดันแนวคิด “ชุมชนจัดการภัยพิบัติ” ด้วยการออกแบบพื้นที่และเครื่องมือที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและลักษณะภัยที่จะเกิดขึ้นบ่อยๆกับชุมชน

ไมตรี ร่วมวิเคราะห์หลังรับทราบข้อมูลสถานการณ์ปริมาณน้ำในเขื่อนที่อยู่ในระดับค่อนมากในเวลานี้ สถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา และแนวโน้มพายุที่อาจจะก่อตัวขึ้น จึงมีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลชุดใหม่โดยหวังว่าจะช่วยลดความสูญเสียต่อประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้
“รัฐบาลควรออกประกาศเป็นนโยบายเชิญชวนผู้บริหารท้องถิ่นทุกแห่งที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยมาประชุมเพื่อวางแนวทางการจัดการลดความสูญเสียร่วมกัน จากนั้นควรออกเป็นมติ ครม.ให้จังหวัดที่มีความเสี่ยงสามารถนำงบประมาณ “ป้องกันภัยพิบัติ” ที่มีอยู่จังหวัดละ 10 ล้านบาท ออกมาใช้ได้ เช่น การทำโรงครัว เตรียมอาหาร หรือจัดเตรียมเรือที่เหมาะสมกับชุมชน โดยให้ท้องถิ่นเป็นฝ่ายเสนอสิ่งที่จำเป็นมาเอง”
ที่ต้องขอให้รัฐบาลออกเป็นมติ ครม. เพราะที่ผ่านมา ผู้ว่าฯส่วนใหญ่ ไม่กล้าใช้งบประมาณนี้ เนื่องจากเคยมีบางจังหวัดที่นำงบป้องกันภัยมาใช้จากการประกาศเตือนภัยจากพายุ แต่พายุเปลี่ยนเส้นทาง และถูก สตง.ตรวจสอบฐานทุจริต

“เราต้องยอมรับด้วยว่า ประชาชนจำนวนมากเลือกที่จะอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองแม้จะเสี่ยงภัยในช่วงน้ำท่วม เพราะเป็นห่วงบ้านและทรัพย์สิน เราจึงขอให้รัฐประกาศให้ชัดเจนว่า ตำบลไหน อำเภอไหน มีแนวโน้มเสี่ยงสูง เพื่อให้ประชาชนและชุมชนมีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้าที่จะอาศัยอยู่ในบ้านตัวเองได้โดยไม่เดือดร้อนมากนัก ในระยะเวลา 3-7 วัน ทำให้มีอาหาร มีห้องน้ำ มีพื้นที่ปลอดภัย สามารถดูแลกันเองได้ในชุมชน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งในมุมของผู้ประสบภัยและในมุมของหน่วยกู้ภัย”
“ส่วนที่จำเป็นต้องมีศูนย์พักพิงชั่วคราว ขอเสนอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทำงานด้านการประชาสัมพันธ์กับชุมชนเพื่ออธิบายว่า ถ้าเขาจำเป็นต้องออกจากบ้านจะได้ไปอยู่ที่จุดไหนในศูนย์พักพิงมีระบบการจัดการและอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง มีองค์ประกอบอะไร ต้องนำเครื่องนอนมมาเองหรือมีให้ มีอาหาร มีห้องน้ำเพียงพอมั้ย เพื่อสร้างความไว้วางใจว่า ศูนย์พักพิงจะสามารถดูแลผู้ประสบภัยได้จริงซึ่งหมายความว่าเราจะต้องออกแบบศูนย์พักพิงนี้ไว้ล่วงหน้าและพร้อมใช้งานทันทีที่จำเป็น”
ส่วนเรื่องการชดเชยเยียวยา ไมตรี ระบุว่า ถ้ารัฐสามารถทำให้การชดเชยมีระเบียบขั้นตอนที่สามารถอธิบายกับประชาชนได้ชัดเจนก็จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้เช่นกันและยังจะช่วยให้หน่วยงานจัดการน้ำสามารถบริหารจัดการน้ำได้ดีขึ้นด้วยในกรณีที่ต้องใช้บางพื้นที่เป็นพื้นที่รับน้ำ
“แต่ละชุมชนในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม เขารู้อยู่แล้วว่า เส้นทางน้ำเป็นอย่างไร ตรงไหนเสี่ยงบ้าง มีกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือกี่คนต้องใช้เรือแบบไหนจะไปอยู่ที่ไหนที่มีความรู้สึกว่าสามารถกลับไปดูแลบ้านได้ ... เมื่อรัฐสามารถ พยากรณ์ได้ล่วงหน้าว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำท่วมก็ควรใช้เป็นโอกาสประสานความร่วมมืออย่างชุมชนเพื่อให้งบประมาณป้องกันภัยพิบัติถูกใช้ไปโดยตรงกับความต้องการที่ต่างกันของแต่ละพื้นและจะเห็นความคุ้มค่า คือ รัฐไม่ต้องสูญเงินไปให้กับความสูญเสียที่ป้องกันได้ตั้งแต่ก่อนเกิดภัย” ไมตรี ทิ้งท้าย
รายงานโดย: สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา สื่อมวลชนอิสระ
อ่านข่าว:
"เขมร" การละคร ส่งม็อบป่วน "หนองหญ้าแก้ว" ฟ้องโลกถูกรังแก
ปูม "ปาฏิโมกข์ 150 ข้อ" มติสงฆ์หนองป่าพง ตัด "นาป่าพง" พ้นวัดสาขา