ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ระเบิดเวลา “ตระกูลฮุน” ชะตากรรมคนเขมร กลับบ้าน “ไม่มีงานทำ”

อาชญากรรม
17:53
112
ระเบิดเวลา “ตระกูลฮุน” ชะตากรรมคนเขมร กลับบ้าน “ไม่มีงานทำ”

“ไม่มีงานทำ ไม่มีการจ้างงานในกัมพูชา” เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชาวเขมรจำนวนไม่น้อยที่เดินทางกลับประเทศ ในช่วงสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชาตั้งแต่เดือนก.ค.-ก.ย.2568 ต้องยอมจ่ายเงินค่า “นายหน้า” ให้ช่วยลักลอบพาข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติเพื่อกลับมาหางานทำจนทหาร ตำรวจ ที่เฝ้าระวังจับกุมได้และผลักดันกลับออกไปนับครั้งไม่ถ้วน

มีรายงานระบุว่าในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 ด้านจังหวัดสระแก้วซึ่งตั้งแต่เกิดการสู้รบจนถึงปัจจุบันสามารถจับกุมได้ทั้งสิ้น 35 ครั้ง รวมผู้ต้องหา 158 คน บริเวณด้าน อ.อรัญประเทศ 23 ครั้ง ผู้ต้องหา 112 คน, อ.ตาพระยา 7 ครั้ง ผู้ต้องหา 26 คน, อ.วัฒนานคร 1 ครั้ง ผู้ต้องหา 5 คน, อ. โคกสูง 1 ครั้ง ผู้ต้องหา 6 คน และอ.คลองหาด 3 ครั้ง ผู้ต้องหา 9 คน

ไม่ต่างจากชายแดนด้านจังหวัดจันทบุรี และตราด ชุดลาดตระเวนทหารพราน ยังคงจับผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองได้อย่างต่อเนื่องซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามีชาวเขมรจำนวนมากยังพยายามหาทางกลับเข้ามาทำงานในไทย

ข้อมูลจากสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กระทรวงแรงงาน ระบุว่า ปี 2567 มีแรงงานกัมพูชาในไทย จำนวน 435,991 คน ปี 2568 มีแรงงานกัมพูชาที่ได้รับอนุญาตทำงานในไทยรวม 512,184 คน จำนวนนี้เป็นผู้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายและผู้ที่ลักลอบเข้ามารับจ้างอยู่ในภาคการเกษตรและอื่น ๆ

ขณะที่ตัวเลขจาก Center for Alliance of Labor and Human Rights องค์กรพัฒนาเอกชนด้านแรงงานของกัมพูชาที่ระบุว่า ในปี 2562 มีแรงงานกัมพูชาในไทยราว 1.7-2 ล้านคน

เพ็ญ กับ โงย สองผัวเมียชาวกัมพูชา อาชีพรับจ้างเฝ้าบ่อกุ้งและก่อสร้าง อาศัยอยู่กับนาย จ้างชาวไทยที่ จ.ฉะเชิงเทรา มานานกว่า 10 ปี เล่าว่า พ่อ-แม่ของทั้งคู่โทรศัพท์มาขอให้เดินทางกลับเขมร เพราะมีเจ้าหน้าที่มาแจ้งว่าหากไม่กลับจะถูกยึดบ้านและที่นา แต่พวกเขายืนกรานไม่กลับ เนื่องจากกลัวว่าไปแล้วจะไม่ได้กลับมาประเทศไทยอีก

“บ้านอยู่เมืองพระตะบอง ที่เขมรลำบาก ไม่มีงาน ไม่มีเงิน อยู่กับคนไทย นายจ้างไม่ขี้เหนียว กินอยู่สบาย มาอยู่ที่นี่ ยังได้ส่งเงินไปให้ทางบ้านใช้บ้าง เดือนละ 2-3 พัน เป็นค่าเรียน ค่ากินให้ลูก ถ้ากลับไปแล้วจะมีงานที่ไหนให้ทำ ถ้ามีงานทำแล้ว พวกที่ไปก่อนหน้านี้จะหนีเข้ามาที่ไทยอีกทำไม ฮุน เซน หลอกชาวบ้าน ” สองสามีภรรยาแรงงานกัมพูชาระบุ

นับแต่เกิดเหตุการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา มีรายงานอย่างไม่เป็นทางการระบุว่า มีแรงงานกัมพูชาหายไป จากตลาดแรงงานไทยถึง 3 แสนคน จึงมีคนงานเหลืออยู่ในระบบเพียง 2 แสนคน ไทยจึงต้องนำเข้าแรงงานจากหลายประเทศ เช่น ลาว และศรีลังกา เข้ามาทดแทน ในภาคงานรับเหมาก่อสร้างและอื่นๆ

ในขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานและการฝึกอบรมอาชีวศึกษาของกัมพูชาคาดการณ์ว่า ภายในปี 2569 การจ้างงานจะพุ่งสูงถึง 10.2 ล้านคน และการเติบโตทางเศรษฐกิจจะสูงถึง 6.6%

ตั้งแต่ปี 2567 มีการสร้างงานมากกว่า 220,000 ตำแหน่ง หรือเพิ่มขึ้น 2.3% จากปีก่อนหน้า คาดการณ์ว่าระหว่างปี 2567 ถึง 2569 จะมีการสร้างงานประมาณ 235,000 ตำแหน่งต่อปี หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2.5% ต่อปี คิดเป็นจำนวนผู้มีงานทำรวมประมาณ 10.2 ล้านคนในปี 2569

โดยภาคการบริการและการท่องเที่ยว การก่อสร้าง อุตสาหกรรม การค้าปลีก การขนส่ง โทรคมนาคม และการผลิต มีอัตราการเติบโตสูงสุด คาดว่าตลาดแรงงานที่มีความต้องการสูงจะอยู่ที่การผลิตเฉพาะทางและการบริการ เฉพาะผู้ที่มีทักษะในการใช้ ภาษาอังกฤษ, จีน, ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค และการบริการลูกค้า

“คนเขมร ที่ได้เรียนหนังสือ จะอยู่ในเมืองหลวง กรุงพนมเปญ แต่พวกคนงานรับจ้างทั่วไป และชาวสวน ชาวนาจะอยู่นอกเมือง เข้าไปทำงานรับเหมาก่อสร้าง ค่าจ้างก็น้อยมาก ได้วันละไม่ถึง 100 บาท หากเข้ามาทำงานในไทยรายได้ดีกว่า เรารับจ้างเฝ้าบ่อกุ้ง ให้อาหารกุ้ง ได้เดือนละหมื่นกว่าบาทก็อยู่ได้สบายๆ “ ตาอ้วน คนเฝ้าบ่อกุ้งชาวกัมพูชา เล่าให้ฟัง

ในกัมพูชา แม้จะมีโรงงานอุตสาหกรรม สิ่งทอ แต่ก็อยู่จังหวัดใหญ่ๆ เช่น จังหวัดกำปงสปือ ซึ่งเป็นจังหวัดอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีรายงานตำแหน่งงานว่าง 23,000 ตำแหน่ง จาก 200,000 ตำแหน่งทั่วประเทศ แต่การจ้างงานมักจะใช้คนวัยทำงาน หนุ่ม ๆ สาว ๆที่เรียนจบชั้นมัธยมขึ้นไป ส่วนผู้ที่มีวัยเกิน 35 ปีไปแล้วจะหางานทำค่อนยาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ไม่ทักษะฝีมือ

การรายงานของ Wageindicator Foundation ระบุว่า ค่าแรงขั้นต่ำของกัมพูชา อยู่ที่ 839,809 เรียลต่อเดือนหรือค่าจ้างแรงงานประมาณเดือนละ 6,849 บาท เฉลี่ยวันละ 228 บาท คือ สาเหตุสำคัญที่มำให้แรงงานกัมพูชาไม่อยากกลับไปทำงานที่ประเทศบ้านเกิด

สื่อกัมพูชา ระบุว่า ในปี 2567 แรงงานภาคอุตสาหกรรมในกัมพูชามีจำนวนทั้งสิ้น 1,160,181 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.52 เมื่อเทียบกับปี 2566 ตามรายงานประจำปีของกระทรวงอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจำนวนนี้มีผู้หญิง 854,918 คน หรือเป็นร้อยละ 73.68 ของแรงงานทั้งหมด

จำนวนแรงงานครอบคลุม 25 เมืองหลวงและจังหวัดทั่วประเทศ

  • กรุงพนมเปญมีแรงงานภาคอุตสาหกรรมมากที่สุด โดยมีแรงงาน 413,134 คน
  •  จังหวัดกันดาล ซึ่งมีแรงงาน 189,438 คน
  •  จังหวัดกำปงสปือ มีแรงงาน 179,744 คนอยู่ในอันดับที่สาม
  •  จังหวัดสวายเวียงมีแรงงาน 87,352 คน
  •  จังหวัดตาแก้ว 72,718 คน
  •  จังหวัดพระสีหนุ 62,347 คน
  •  จังหวัดอื่นๆ มีแรงงานภาคอุตสาหกรรมรวม 42,215 คน

ส่วนแรงงานใหม่ที่เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมในปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 119, 848 ราย อย่างไรก็ตามมีผู้ตกงานเนื่องจากการปิดโรงงานประมาณ 12,808 ราย

ในปี 2567 มีโรงงานอุตสาหกรรมหนักเปิดดำเนินการในประเทศ 2,425 แห่ง โดยมีโรงงานใหม่ 321 แห่ง และปิดกิจการ 26 แห่ง

  • พนมเปญมีจำนวนโรงงานมากที่สุด คือ 818 แห่ง
  • จังหวัดกันดาล 358 แห่ง
  • จังหวัดกำปงสปือ 38 แห่ง
  •  จังหวัดพระสีหนุ 257 แห่ง
  •  จังหวัดสวายเรียง 232 แห่ง
  • จังหวัดตาแก้ว 139 แห่ง

โรงงานในภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ เป็นโรงงานประเภทผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปรวมจำนวน 700 แห่ง โรงงานผลิตเครื่องหนังมากกว่า 300 แห่ง โรงงานผลิตอาหารมากกว่า 100 แห่งและโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติกมากกว่า 100 แห่ง

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโรงงานจำนวนมากเปิดรับสมัครพนักงาน แต่โอกาสสำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 35 ปี การได้งานทำค่อนข้างจะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากโรงงานส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องทักษะ หรือประสบการณ์ในการทำงานมากนัก นอกจากนี้ต้องเสียค่าสมัครงาน และยังต้องมีการสอบคัดเลือก ขั้นตอนการฝึกอบรมซึ่งแต่ละครั้งผู้สมัครงานต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณคนละ 400-500 บาท

ขณะที่ภาคเกษตรกรรมของกัมพูชา มีรายได้จากการส่งออกสินค้าเกษตรอยู่ที่ 4.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 22.0 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยเมื่อปี 2566 ภาคการเกษตรมีการจ้างงานประมาณร้อยละ 36.01 ของแรงงานทั้งหมด พบว่าสัดส่วนแรงงานภาคเกษตร กรรมของกัมพูชา ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดของธนาคารโลกในปี 2565-2566 ชี้ให้เห็นว่า การจ้างงานในภาคเกษตร กรรมอยู่ที่ประมาณร้อยละ 36.64, 36.01 ตามลำดับของการจ้างงานทั้งหมดซึ่งลดลงจากร้อยละ 37.13 ในปี 2564 ซึ่งปัญหาความท้าทายของภาคเกษตรในกัมพูชา คือ การขาดเทคนิคและปัจจัยการผลิตที่ทันสมัย ซึ่งนำไปสู่ผลผลิตและผลกำไรที่ต่ำ สำหรับเกษตรกรรุ่นใหม่

ขณะที่ส่วนแบ่งการจ้างงานภาคเกษตรกรรมลดลงจากอย่างรวดเร็ว จากร้อยละ 74.8 ในปี 2541 เหลือเพียงร้อยละ 30.4 ในปี 2561 อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงแต่ภาคการเกษตรยังคงมีการจ้างงานอยู่ที่จำนวน 3 ล้านคน

ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชายังไม่ได้ข้อยุติการรุกล้ำดินแดนอธิปไตยไทย ท่ามกลางนโยบายตีสองหน้าของ 2 พ่อ-ลูก “ตระกูลฮุน” ผู้นำเพื่อนบ้านเรียกประชาชนกลับบ้านเกิด แต่ที่ชายแดนไทยไม่วายมีปัญหาคนเขมรลักลอบข้ามแดนเข้ามาหางานเกือบทุกวัน

 อ่านข่าว:

สิ้นสุดการต่อสู้ “ปลายทาง” 17 ปี คดีกลุ่มพันธมิตรบุกยึด NBT

"เขมร" การละคร ส่งม็อบป่วน "หนองหญ้าแก้ว" ฟ้องโลกถูกรังแก

ปูม "ปาฏิโมกข์ 150 ข้อ" มติสงฆ์หนองป่าพง ตัด "นาป่าพง" พ้นวัดสาขา