วันนี้ (1 ต.ค.2568) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) กล่าวถึงกรณีมีเสียงปืนยิงเข้ามาฝั่งไทยในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ว่า จากการตรวจสอบยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการใช้อาวุธ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธปืนเล็กหรือเครื่องยิงลูกระเบิด
ทั้งนี้ในห้วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา กัมพูชาพยายามเน้นการสื่อสารไปยังประชาคมโลก เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของฝ่ายไทย แต่เชื่อว่าทุกฝ่ายรู้เท่าทัน จึงต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังเพื่อไม่ให้เข้าเงื่อนไขของกัมพูชาที่จะนำไปใช้ในเวทีโลก
ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกองทัพและกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงถึงยุทธวิธีของกัมพูชา โดยการนำกิจกรรมมาเป็นตัวนำ เช่น การชุมนุมของชาวกัมพูชาที่บ้านหนองหญ้าแก้วและบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งจะนำภาพเหตุการณ์ดังกล่าวไปขยายผลต่อ แต่ไทยใช้กำลังของฝ่ายปกครองไปดูแลความเรียบร้อย ไม่ใช่ทหาร กัมพูชาจึงไม่สามารถนำไปขยายผลได้
นอกจากนี้ ชาวกัมพูชามีท่าทีก้าวร้าวและมีการใช้ความรุนแรงอย่างชัดเจนต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ซึ่งมองว่าฝ่ายไทยยังรับมือได้ ในการนำข้อเท็จจริงไปชี้แจงต่อประชาคมโลก ดังนั้นเป้าหมายของกัมพูชาที่จะทำให้สังคมโลกมองไทยไปในทิศทางที่ไม่ดี จึงยังไม่ได้ผล
โฆษกกองทัพบก เปิดเผยอีกว่า พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้กำชับแม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพภาคที่ 2 ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมความพร้อมสูงสุด รวมถึงการดูแลกำลังพล
ส่วนแนวทางการยกเลิก MOU 43 ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการและการให้ความเห็นทั้ง 2 ลักษณะ ซึ่ง MOU 43 ไทยยึดถือและปฏิบัติมาตลอด แต่พบปัญหาฝ่ายกัมพูชาละเมิดประมาณ 500 ครั้งและไปจบที่การประท้วง แต่ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขหรือปรับปรุงอย่างแท้จริง จนเป็นปัญหาสะสมมานานกว่า 20 ปี
ทั้งนี้ กระบวนการที่จะยกเลิกหรือไม่ต้องเป็นระดับฝ่ายบริหาร และหากยกเลิกแล้วจะส่งผลต่อการทำงานของกองทัพหรือไม่นั้น ยืนยันว่ากองทัพสามารถทำงานได้ ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ตามกรอบกฎหมายและข้อตกลงที่ยึดมั่น
โฆษก ทบ.ระบุเล็งสร้างรั้วชายแดนพื้นที่ลักลอบเข้าเมืองผิด กม.ก่อน
กรณียอดบริจาคสร้างรั้วและบังเกอร์ชายแดนไทย-กัมพูชาของ “กองทุนหทัยทิพย์” ภายใต้มูลนิธิจุฬาภรณ์ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์บริจาคเป็นทุนตั้งต้น 1 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดบริจาคสมทบทะลุ 100 ล้านบาท
พล.ต.วินธัย กล่าวว่า เรื่องการสร้างรั้วชายแดนอาจต้องแบ่งเป็นพื้นที่ หากพื้นที่ไหนมีความชัดเจนและสามารถดำเนินการได้ ก็จะทำก่อน ส่วนพื้นที่ที่ยังไม่มีความชัดเจน ต้องรอให้เป็นไปตามกระบวนการ โดยเฉพาะการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC)
การสร้างรั้วอาจมองไปยังพื้นที่ที่มีการเข้า-ออกผิดกฎหมาย เกิดผลกระทบต่อความมั่นคง ก็อาจจะดำเนินการก่อน อย่างน้อยให้เห็นว่าไทยมีมาตรการที่ต่อต้านสิ่งผิดกฎหมาย
อ่านข่าว
มทภ.2 คนใหม่ยันไม่หนักใจปมชายแดนเมินกัมพูชายั่วยุ