บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา หรือ MOU 2543-2544 กลับมาเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงอีกครั้ง หลังจากรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล มีแนวคิดให้ประชาชนทำประชามติว่าจะยกเลิกหรือไม่ พร้อมกับการลงคะแนนเลือกตั้งในปี 2569
MOU 2543
บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก
ลงนามเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2543 (ค.ศ.2000) ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ 2 ฝ่าย คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ (ขณะนั้น) ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย และนายวาร์ กิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาล ผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนของกัมพูชา
บันทึกความเข้าใจฉบับนี้กำหนดให้ไทยและกัมพูชาร่วมกันสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ไม่ใช่การกำหนดเขตแดน โดยใช้กลไลคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นเครื่องมือสำคัญ ขับเคลื่อนการจัดทำหลักเขตแดนทางบกผ่านเอกสารสำคัญ 3 ฉบับ คือ อนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ฉบับปี ค.ศ.1904, สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ฉบับปี ค.ศ.1907 และแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยาม ตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ.1907

ขณะเดียวกันปมความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา มีที่มาจากปัญหาเส้นเขตแดน ฝ่ายไทยยึดแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 มาโดยตลอด ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายึดแผนที่มาตรส่วน 1:200,000 กัมพูชาใช้แผนที่แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระวางดงรัก อ้างสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหาร และยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ ศาลโลก กระทั่งไทยสูญเสียดินแดนในส่วนปราสาทเขาพระวิหาร ในปี ค.ศ.1962
อย่างไรก็ตาม พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) กล่าวถึง MOU 43 เมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า ไทยยังคงยึดถือและปฏิบัติมาตลอด แต่พบปัญหาฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงกว่า 500 ครั้ง ซึ่งฝ่ายไทยได้ยื่นประท้วงอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขหรือปรับปรุงอย่างแท้จริง จนเป็นปัญหาสะสมมานานกว่า 20 ปี
MOU 2544
บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยความร่วมมือในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล
ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2544 (ค.ศ.2001) โดยนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รมว.ต่างประเทศ (ขณะนั้น) ในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และนายซก อัน รัฐมนตรีอาวุโส ประธานการปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา
มีเป้าหมายเพื่อร่วมกันหาทางออก "พื้นที่ทับซ้อนไหล่ทวีป" (Overlapping Claims Area : OCA) ในอ่าวไทย ที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรทางทะเล โดยเฉพาะแหล่งก๊าซธรรมชาติ และการที่กัมพูชาลากเส้นอ้างสิทธิ์ผ่าน "เกาะกูด" ของไทย ถือเป็นประเด็นที่ถูกมองว่าขัดต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

MOU 44 จึงกำหนดกรอบและกลไกเจรจาหาข้อสรุปในเรื่องปักปันเขตแดนทางทะเล พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ พื้นที่ประมาณ 10,000 ตร.กม. และเรื่องพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียม พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ ในลักษณะพื้นที่พัฒนาร่วม พื้นที่ประมาณ 16,000 ตร.กม.
เงื่อนไขบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ต้องดำเนินการทั้ง 2 เรื่องในลักษณะไม่แบ่งแยกออกจากกัน โดยมีคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) พิจารณาและเจรจาร่วมกัน และต้องไม่กระทบต่อการอ้างสิทธิทางทะเลของแต่ละฝ่าย
แม้จะมีความพยายามยกเลิก MOU 44 ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยอ้างเหตุผลว่ารัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้ง "ทักษิณ" เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจรจา แต่จนถึงปัจจุบัน MOU 44 ก็ยังไม่ถูกยกเลิกแต่อย่างใด
ลำดับเหตุการณ์ "รัฐบาลอนุทิน" ดันยกเลิก MOU 43-44
ก่อนหน้านี้ "พรรคภูมิใจไทย" ออกแถลงการณ์ขอให้สภาฯ พิจารณายกเลิก MOU 43-44 ยกเหตุการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และข้อมูลของทางการที่พบกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหลายร้อยครั้ง โดยเห็นว่าหากอนาคตจะยกเลิก MOU 43-44 ไทยและกัมพูชาก็ยังสามารถเจรจาทวิภาคีกันได้ จึงยื่นญัตติด่วนให้ตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาผลกระทบและหาทางออก พร้อมเสนอให้ทำประชามติเพื่อฟังเสียงประชาชนในขั้นตอนสุดท้าย

อนุทิน ชาญวีรกูล
อนุทิน ชาญวีรกูล
ภายหลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีและมีการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา หนึ่งในเรื่องที่กล่าวถึงคือการทำประชามติยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา โดยนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่ารัฐบาลจะจัดทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง ให้เหตุผลว่า MOU เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลเฉพาะกิจไม่ควรตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ควรขอฉันทานุมัติจากประชาชน
ต่อมา นายอนุทิน ระบุถึงการพิจารณาทบทวนยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชาว่ายังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษา MOU 2543-2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา สภาผู้แทนราษฎร ต้องรอผลการศึกษา และหากผลการศึกษาออกมาว่า MOU ไม่ได้ประโยชน์กับประเทศไทย ก็อาจยกเลิกโดยคณะรัฐมนตรี พร้อมระบุว่าการทำประชามติเรื่องนี้ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่ใช่การโยนภาระ แต่เป็นการให้เกียรติ
"ส่วนตัวมองว่าควรจะเลิก แต่ต้องดูบริบทของ MOU 43-44 ว่ามีข้อกำหนดอย่างไร เพราะ MOU ทั้ง 2 ฉบับผ่านมานานแล้ว หากประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์ก็ไม่ควรเก็บไว้ และตามปกติ MOU ไม่ได้มีความผูกพันเท่ากับ MOA หรือสัญญา" นายอนุทิน กล่าว
สะท้อนมุมมองทำประชามติ MOU ผลกระทบคงไว้-ยกเลิก
นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับ "ไทยพีบีเอส" ว่า MOU 43-44 เป็นเพียงกรอบในการเจรจาเกี่ยวกับเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาเท่านั้น ไม่ได้ระบุว่าฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบ

นพดล ปัทมะ
นพดล ปัทมะ
อดีต รมว.ต่างประเทศ ระบุอีกว่า การที่มี MOU 43 เป็นการผูกมัดให้กัมพูชาต้องเจรจาเรื่องเขตแดนกับไทยแบบทวิภาคี และที่สำคัญคือความชอบธรรมที่กัมพูชาจะยกประเด็นเขตแดนไปสู่เวทีระหว่างประเทศ เช่น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ, เทวีอาเซียน หรือศาลโลก ก็จะลดลงอย่างมาก แต่หากมีการยกเลิก MOU 43 จะทำให้กรอบการพูดคุยหายไปและต้องมีการเจรจากันใหม่
ส่วนประเด็นที่มีบางฝ่ายกังวลว่าหากยกเลิก MOU 43 แล้ว กัมพูชาจะนำแผนที่ 1:200,000 เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลกได้หรือไม่นั้น ศาลโลกเคยมีคำตัดสินในปี 2505 และปี 2556 ซึ่งไม่ได้ยอมรับว่าเส้นเขตแดนเป็นไปตามแผนที่ 1:200,000 ตามที่กัมพูชาร้องขอ ดังนั้นข้ออ้างของกัมพูชาจึงยังฟังไม่ขึ้น และต้องมาพูดคุยกันต่อไปตามแผนที่คนละฉบับ
ขณะที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เสนอให้รัฐบาลทบทวนกรณีให้ประชาชนทำประชามติเรื่อง MOU 43-44 โดยระบุว่าเป็นเรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อนและห่วงว่าผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ใช่ผลสะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน พร้อมมองว่าการตัดสินใจดังกล่าวควรเป็นหน้าที่ฝ่ายบริหาร รัฐบาลไม่ควรโยนภาระให้ประชาชน

อ่านข่าว
โพลชี้คนไม่เข้าใจ MOU 43-MOU 44 แต่ 60.76% หนุนทำประชามติยกเลิก
"ณัฐพงษ์" เรียกร้องรัฐบาลทบทวนทำประชามติยกเลิก MOU 43-44
"นพดล" แนะรัฐบาลฟังความเห็นหน่วยงานรัฐ กรณี MOU43 ก่อนตัดสินใจทางการเมือง