พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 ขีดเส้นตายให้กัมพูชา นำเสนอแผนอพยพชาวเขมรที่อยู่ในพื้นที่ 3 หมู่บ้าน คือ บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และบ้านคลองแผง อ.ตา พระยา จ.สระแก้ว ในวันพรุ่งนี้ (7 ต.ค. 2568) ก่อนจะมีการประชุม RBC ระหว่างวันที่ 10-12 ต.ค.นี้ ที่ จ.บันเตียเมียนเจย
โดยมีเงื่อนไข หากไม่เป็นตามนี้ไทยจะไม่เข้าร่วมการประชุม RBC แต่เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา พล.ท. แอก ซอมโอน ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 ของเขมร มีหนังสือตอบกลับมาถึงแม่ทัพภาคที่1 ของไทย สรุปได้ว่าจะไม่ยอมทำตามข้อเสนอของไทยใดๆทั้งสิ้น
ตามที่สำนักข่าวแขมร์ ไทมส์ รายงาน เมื่อวันที่ 5 ต.ค.2568 ว่า ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 5 กัมพูชาได้ทําหนังสือตอบกลับ พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 โดยชี้แจงจุดยืนใน 5 ประเด็น ประกอบด้วย
1.ข้อเสนอให้จัดประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคระหว่างภูมิภาคที่5และกองทัพภาค สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการมอบหมายภารกิจให้แก่คณะกรรมการชายแดนทั่วไป(GBC)ของทั้งสองประเทศ คือ กัมพูชาและไทยรวมถึงสิ่งที่ได้กําหนดไว้ในการประชุมวิสามัญครั้งที่หนึ่งของคณะ กรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค กัมพูชา-ไทย เมื่อ 22 ส.ค.68
2.กรณีหมู่บ้านโจคเจยและบ้านไปรจัน ซึ่งกองทัพภาคที่ 1ได้เสนอมาจะต้องดําเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลงของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(GBC) ของทั้งสองประเทศเมื่อวันที่ 10 ก.ย.2568 ที่ผ่านมาโดยเฉพาะข้อที่ 8 ของรายงานการประชุมซึ่งได้รับมอบหมายให้ JBC เป็นกลไกที่มีอํานาจในการประชุมเพื่อหาข้อยุติโดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมRBC ในระดับภูมิภาคทหารมีหน้าที่เพียงอํานวยความสะดวกแก้ไขปัญหาในพื้นที่บรรเทาความตึงเครียดและแก้ไขปัญหาอย่างสันติแต่ไม่มีอํานาจในการกําหนดเกี่ยวกับเส้นเขตแดน

3.ขอแจ้งว่าจากการสังเกตการณ์ในพื้นที่จริงได้แสดงให้เห็นและยืนยันอย่างชัดเจนว่าในบางพื้นที่มีการยึดครองและแสวงประโยชน์โดยคนไทยภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ปัญหานี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความยากลําบากในการแก้ไขปัญหาชายแดน จึงจําเป็นต้องเคารพข้อตกลงและหลักการที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันไว้ในอดีตกัมพูชามุ่งมั่นที่จะเคารพสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันไว้
กล่าว คือ รอผลการประชุมJBC โดยเฉพาะกรณีในพื้นที่บ้านโจคเจยและบ้านไปรจัน(รวมถึงพื้นที่ที่มีการก่อสร้างของไทยและประชาชนชาวไทยดําเนินการอยู่นอกเขตชายแดนบางพื้นที่) โดยในเรื่องนี้กัมพูชายังคงผลักดันให้มีการประชุม JBC เพื่อหาทางออกโดยเร็ว
4.ภูมิภาคทหารที่ห้าขอให้เคารพข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายกัมพูชา-ไทย ได้ตกลงกันไว้ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(GBC)ที่ผ่านมากัมพูชาเน้นย้ำถึงความจําเป็นในการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อกระบวนการหาทางออกอย่างสันติวิธีโดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลีกเลี่ยงกิจกรรมใดๆที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองฝ่ายระหว่างรอการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วม(JBC)ของทั้งสองประเทศ

หลังจากได้รับหนังสือจากกัมพูชา บ่ายวันนี้ (6 ต.ค.2568 )กองทัพภาคที่ 1 ระบุว่าได้หนังสือตอบกลับเมื่อ 5 ต.ค.68 ที่ผ่านมาว่าทางภูมิภาคทหารที่ 5 ไม่สามารถดำเนินการตามที่กองทัพภาคทหารที่ 1 ได้เสนอไป ขอยืนยันว่า หากไม่ได้รับความร่วมมือจากกองทัพภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชาเกี่ยวกับการจัดทำแผนการอพยพประชาชนกัมพูชาที่อยู่ในเขตอธิปไตยของไทย
การประชุม RBC ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้เนื่องจากไม่มีวาระเพิ่มเติมที่จะนำไปสู่การยุติของปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
หรือพูดง่าย ๆ คือ ไทยจะไม่เข้าร่วมประชุมRBCกับกัมพูชา ...เป็นสิ่งที่กองทัพภาคที่ 1 ยืนยัน ส่วนหลังจากนี้จะดำเนินการอื่นใดต่อไปอีกหรือไม่ยังไม่มีคำตอบ
ขณะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านตะวันออกเขมรยังตีมึน เมินข้อเสนอของไทยอีกด้านหนึ่งของแนวรบพระวิหาร ด้านอีสานใต้ พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาค 2 ชี้แจงว่าต้องเลื่อนประชุมการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค(RBC) ไทย-กัมพูชาออกไปกลางเดือนต.ค.นี้เช่นกัน เนื่องจากกัมพูชา ไม่ตอบรับข้อเสนอฝ่ายไทยทุกข้อไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถอนกำลัง-ถอนอาวุธ-เก็บกู้ทุ่นระเบิด

“ข้อเสนอฝ่ายไทยมีการเตรียมข้อมูลไว้แล้วโดยจะมีต้องนำผลผลิตจากการประชุมGBCมาปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในการประชุมRBCทั้งการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการถอนอาวุธ แต่ขณะนี้ยังเป็นเพียงแค่ตัวรายงานที่ส่งไปส่งมากันอยู่ระหว่างฝ่ายเลขานุการของไทยและกัมพูชา“
สำหรับข้อตกลงเก็บกู้ทุ่นระเบิดพล.ท.วีรยุทธ ระบุว่า ไทยต้องมีการกำหนดพื้นที่โดยเฉพาะพื้นที่ที่ไทยเห็นว่ามีทุ่นระเบิดวางใหม่ จากการสู้รบที่ผ่านมาซึ่งการทำแผนเก็บกู้ทุนระเบิดจะต้องทำให้ละเอียดแผนเก็บกู้ทุนระเบิดเดิมก็ต้องมีการรื้อใหม่
เนื่องจากพบว่ามีการวางทุ่นระเบิดใหม่ทับไปแล้วซึ่งจุดที่มีการวางทุ่นระเบิดใหม่ก็ต้องมาดำเนินการสำรวจและการให้ข้อมูล

ส่วนโซนที่พบทุ่นระเบิดวางใหม่จำนวนมากไล่มาตั้งแต่บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานีจนถึงบริเวณปราสาทตาเมือนมตลอดแนวเพราะเป็นพื้นที่สู้รบกว่า 363 กิโลเมตรระหว่างช่องบกจนถึงหลักเขตแดนที่ 8 ละหานทราย
อย่างไรก็ตามหากการประชุมกองเลขานุการของฝ่ายไทยและกัมพูชาตกลงกันได้หรือไม่นั้นถือเป็นเรื่องทางเทคนิค แต่ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเพราะการถอนกำลังก็ต้องให้ชัดเจนว่าจะถอนอย่างไรและวันไหนซึ่งกองทัพภาคที่ 2 จะต้องมีข้อมูลและมีแผนการปฏิบัติที่ที่ชัดเจน
ตลอดแนวรบของทั้ง 2 ด้าน ยังไม่ได้ข้อยุติว่าจะจัดการปัญหาการล้ำแดนของเขมรอย่างไร จึงเป็นเกมวัดใจของแม่ทัพภาคที่ 1 และภาคที่2 คนใหม่ว่าจะมีวิธีการนอกเหนือจากการทำหนังสือแจ้งกลับไป-กลับมาอีกหรือไม่
อ่านข่าว