วันนี้ (7 ต.ค.2568) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง พร้อมด้วย นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าว “โครงการคนละครึ่ง พลัส” ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล โดยระบุว่า
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบมาตรการกระตุ้นการบริโภค "คนละครึ่งพลัส" เป็นไปตามที่ได้แถลงนโยบายต่อสภาฯ เพื่อต้องการแก้ปัญหาเร่งด่วนของประเทศ สู้กับภัยเศรษฐกิจ และให้ประชาชนได้จับจ่ายใช้สอย โดยในไตรมาส 4 มีแนวโน้มเศรษฐกิจจะติดหล่ม และจะชะลอตัวลง โครงการดังกล่าวจึงเป็นโครงการเรือธงที่เสริมบัตรสวัสดิการเติมเงินไปเมื่อ มติ ครม.สัปดาห์ที่แล้ว
นายเอกนิติ ยังกล่าวว่า โครงการดังกล่าว นั้นถือว่า "กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว" กระตุ้นสั้น คือ ช่วยประชาชน 20 ล้านสิทธิ ในการลดรายจ่ายโดยรัฐจะสมทบคนละครึ่ง และช่วยร้านค้ารายย่อยต่าง ๆ มีสิทธิเพิ่มรายได้ จากยอดใช้จ่ายของประชาชนผ่านโครงการดังกล่าว และกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผลยาว คือ พลัส 2 เรื่อง คือ คนในรายภาษีจะได้เงิน 2400 บ. ขณะที่คนทั่วไปจะได้ 2,000 บ.จากโครงการนี้
พลัสที่ 3 คือ การเพิ่มทักษะให้พ่อค้าแม่ค้าให้มีทักษะในเรื่องการค้าขายที่เก่งมากขึ้นผ่านเทคโนโลยี และรู้ต้นทุนลดเพื่อรายจ่ายได้ และใช้เทคโนโลยีช่วยในการค้าขายเช่น AI ซึ่งจะเป็นโครงการที่รัฐบาล โดยมุ่งเน้นเป็นเครื่องจักรตัวหนึ่งที่ช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยไม่ให้ติดหล่ม
โครงการคนละครึ่งพลัส ขอสรุปว่า แตกต่างจากโครงการเดิมอย่างไร ซึ่งจะเพิ่มประชากรจากเดิม อายุ 18 ปี ขึ้นไป ครั้งนี้ 16 ปีขึ้นไปเพื่อให้เด็กรุ่นใหม่มีกำลังซื้อมากขึ้น สามารถมีรายได้มากขึ้น ค้าขายได้มากขึ้น จะมีสิทธิเข้าโครงการดังกล่าวด้วย และพลัสที่ 2 เพิ่มเงินสมทบจากเดิม 150 บาทต่อวันเป็น 200 บาทต่อวัน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และเพิ่มวงเงินคนที่อยู่ในระบบภาษี 2,400 บาท พลัสที่ 4 เพิ่มผู้ประกอบการรายย่อย (มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท/ปี) ซึ่งแต่เดิมให้เฉพาะผู้ค้าทั่วไปแต่เพิ่มนิติบุคคลมาด้วย และพลัสที่ 5 อัพสกิล และรีสกิลให้พ่อค้าแม่ค้าด้วย ใช้ AI ในการขยายธุรกิจ
นายเอกนิติ ยังกล่าวว่า ทั้งหมดเป็นไปตามแนวคิด Quick Big Win ฉะนั้นวันนี้จึงจะใช้แอปฯ "เป๋าตัง" และ "ถุงเงิน" ที่ประชาชนคุ้นเคยอยู่แล้วมาใช้ในโครงการ ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันที โดยแหล่งเงินของโครงการใช้งบประมาณเดิมจากที่รัฐบาลได้อนุมัติในปี 69 วงเงิน 25,000 ล้านบาท และงบกลาง 19,000 ล้านบาท รวม 4,4000 ล้านบาท ครึ่งหนึ่งจากส่วนของรัฐ และอีกครึ่งหนึ่งมาจากประชาชน 44,000 ล้านบาท และรวมเงินที่เติมบัตรสวัดิการ 23,000 ล้านบาท ก็รวมประมาณ 100,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ร้อยละ 0.3 - 0.4 ของ GDP
ทั้งนี้ ในวันที่ 15 ต.ค.จะเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ และวันที่ 20 - 26 ต.ค.นี้ จะเปิดให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการ และจะเริ่มใช้ วันที่ 29 ต.ค. - 31 ธ.ค.นี้ เชื่อว่าจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยจากการติดหล่มในช่วงไตรมาสที่ 4 ได้
อ่านข่าว : ก.คลัง เตรียมเสนอ ครม.เคาะ "คนละครึ่งพลัส" วันนี้
นายกฯ ชี้ "คนละครึ่ง" ลงทะเบียนกลาง ต.ค.68 ยังไม่ชัดงบ 864 ล้านสร้างรั้วชายแดน
กางไทม์ไลน์ "คนละครึ่ง" เริ่มใช้สิทธิเมื่อไหร่ เช็กวิธีลงทะเบียน











