วันนี้ (7 ต.ค.2568) นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ได้มีการประชุม ทางสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือ อย. เพื่อร่วมกันทำโครงการสุขกาย สบายกระเป๋า เพื่อเปิดเผยราคายาแสดง ราคา ยา และ เพิ่มทางเลือกให้ประชาชน ให้ ประชาชนสามารถเลือกซื้อยานอกโรงพยาบาล

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน
ปัจจุบันมีโรงพยาบาลที่จะเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 9 เครือ จำนวน 354 แห่ง ครอบคลุมทั่วประเทศ เช่น ร.พ.BDMS ,ร.พ.ธนบุรี ,ร.พ.บางกอกเชน(เกษมราษฎร์),ร.พ.บางปะกอก-ปิยะเวท ,ร.พ.รามคำแหง-วิภาราม ,ร.พ.พริ้นซิเพิล,ร.พ.นวมินทร์ ,ร.พ.สินแพทย์ และร.พ.จุฬารัตน์
ขณะเดียวกัน ร้านขายยาทั่วประเทศมีอยู่ประมาณ 20,099 ร้าน โดยร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำอยู่ 19,206 หรือว่า 93% ในวันที่ 10 ต.ค.นี้จะมีการหารือถึงรายละเอียดคุณสมบัติ เพื่อเปิดให้ร้านขายยาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ

โรงพยาบาล 9 เครือเข้าร่วมโครงการ
โรงพยาบาล 9 เครือเข้าร่วมโครงการ
คนไข้สามารถไปซื้อยาที่ร้านยาได้ ซึ่งจะครอบคลุมยาเกือบ 90% เช่น ป่วยทั่วไป หรือ ป่วยโรคเรื้อรัง อย่างโรคเบาหวาน โรคความดัน ที่ต้องใช้ยาแบบเดิมอยู่ประจำสามารถขอใบสั่งยาแล้วไปซื้อยาที่ร้านขายยานอกโรงพยาบยาลได้ ซึ่งรวมถึงเวชภัณฑ์ ต่าง ๆ ส่วนโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง หัวใจ ควรให้แพทย์ที่รักษาเป็นคนสั่งจ่ายยา เพราะยาบางชนิดไม่มีในร้านขายยา
สำหรับขั้นตอนการเข้ารับการรักษาประชาชนจะต้องแจ้งความประสงค์กับแพทย์ผู้ทำการรักษาว่าต้องการไปซื้อยานอกโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์ออกใบสั่งยา ก่อนจะมีการชำระเงินหน้าเคาน์เตอร์ ทั้งนี้ประชาชนจะเห็นราคายาก่อนจ่าย

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ประชุมร่วมกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหาร และ ยาหรือ อย.
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ประชุมร่วมกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหาร และ ยาหรือ อย.
จะมีการจัดกิจกรรม MOU สุขกาย สบายกระเป๋า ในวันที่ 28 ต.ค. 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงข่าว พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นสักสักขีพยานระหว่างการค้าภายใน กับ สมาคมรพ.เอกชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสำนักงานคณะกรรมอาหารและยา
สำหรับโครงการดังกล่าวจะสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้ประชาชนได้ 32,400 ล้านบาทและลดความแออัดของภาครัฐ กลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาใช้บริการ คือ คนไทย และต่างชาติที่มีที่อยู่อาศัยและทำงานในไทย แต่ไม่รวมนักเที่ยวต่างชาติและต่างชาติที่เข้ามารักษา นอกจากนี้ได้มีการหารือการดำเนินการเฟส 2 ศึกษาต้นทุนโครงสร้างราคายาให้มีความเหมาะสม ควบคุมต้นทุนการนำเข้ายา
ในส่วนของเฟส 2 จะดำเนินการเรื่องของโครงสร้างที่เป็นต้นทุน ค่าบริหารจัดการ ดูแลเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด
ด้านนายแพทย์ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ระบุว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยมีสิทธิเลือกซื้อยาได้โดยมีใบสั่งยาจากแพทย์ ส่วนปัญหายาแพงนั้น ยอมรับว่ามีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องที่เป็นต้นในการกำหนดราคายา เช่น ค่าที่ดิน เครื่อง มือแพทย์ ทั้งค่าบริหารจัดการ ค่าการตลาด ที่นำมาคำนวนเป็นต้นทุน แต่ละโรงพยาบาลจะแตกต่างกัน กำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 10%
ทั้งนี้ ยังแสดงความเป็นห่วง กรณีผู้ป่วยที่ต้องการซื้อยาจากข้างนอกโรงพยาบาล ต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปกำกับดูแลย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันยาที่ไม่ได้คุณภาพหรือยาปลอม ทั้งนี้ ยอมรับว่านะ โครงการลดค่าครองชีพครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของโรงพยาบาล
อ่านข่าว:
หั่นเป้าเงินเฟ้อเหลือ 0.0% สนค. เผยราคาพลังงาน-อาหารลด ยันไม่ใช่เงินฝืด
8 เดือน จับของเถื่อนกว่า 2.96 ล้านชิ้น พณ.เผย ปลอมยันอาหาร เสียหายกว่าพันล้าน
เทียบ "สลากการออม" VS "หวยเกษียณ" จูงใจออมเงิน?