วันนี้ ( 8 ต.ค.2568) นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมเสวนาหัวข้อ “พลิกเกมสู้เศรษฐกิจโลกป่วน” ในงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ว่าภาคเอกชนคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความท้าทาย

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
จากการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจ พบว่าอัตราการเติบโตของไทยในครึ่งปีหลังปีนี้จะชะลอตัว หลังไตรมาส 1 เติบโตได้ 3.2% ไตรมาส 2 เติบโต 2.8% ทำให้ครึ่งปีแรกโตเฉลี่ย 3% ในครึ่งปีหลังไตรมาส 3 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.7% และไตรมาส 4 คาดว่าจะลดลงเหลือเพียง 0.3% โดยรวมแล้วคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จึงคาดการณ์ GDP ทั้งปีนี้จะอยู่ในช่วง 1.8% ถึง 2.2% เท่านั้น
สำหรับ 2569 แม้สถาบันการเงินระหว่างประเทศ IMF หรือ World Bank จะปรับตัวเลขการเติบโตของเอเชียและไทยดีขึ้นเล็กน้อย แต่คาดการณ์การเติบโตของ GDP ไทยยังคงอยู่เพียงที่ประมาณ 2% ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ ดังนั้นปีหน้าเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้นนิดนึง เพราะสงครามการค้ามีข้อสรุปแล้ว แต่สิ่งที่ประเทศไทยต้องระวัง คือรายได้ของประเทศไทยส่วนใหญ่พึ่งพาการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงประมาณ 60% ของ GDP

งานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 ในหัวข้อ “The Future Direction of Thailand 2025 : เมื่อโลกเปลี่ยน...ประเทศไทยไปทางไหน?”
งานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 ในหัวข้อ “The Future Direction of Thailand 2025 : เมื่อโลกเปลี่ยน...ประเทศไทยไปทางไหน?”
จี้รัฐเร่งแก่บาทแข็ง หวั่นกระทบส่งออก
อีกทั้งภาคการท่องเที่ยวก็เป็นตัวหลักในการสร้างรายได้ แต่ข้อมูล 9 เดือนที่ผ่านมา รายได้จากการท่องเที่ยวต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณ 7% โดยรายได้อยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งห่างไกลจากเป้าหมายเดิมที่ ททท. เคยตั้งไว้ว่าจะต้องมีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน และสร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท
ตอนนี้ตัวเลขออกมา 9 เดือน เหลืออีก 3 เดือนสุดท้ายก็ต้องลุ้นกัน ซึ่งปัญหาค่าเงินบาทแข็งเกินไป เป็นเรื่องที่ กกร.ส่งสัญญาณเรื่องนี้ตลอด เพราะประเทศเราต้องค้าขายต่างชาติ ถ้าบาทแข็งสินค้าเราแพงขึ้น และยังกระทบการท่องเที่ยวด้วย

ในขณะเรื่องบาทแข็ง กกร. ออกมาสะท้อนให้ภาครัฐเร่งแก้ปัญหามาตลอด เพราะประเทศพึ่งพาการส่งออก 60% ของ GDP และจากภาคท่องเที่ยว 10% ของ GDP แต่ทั้งสองอุตสาหกรรมนี้โดนผลกระทบจากเงินบาท ดังนั้นเรื่องค่าเงิน กกร.ส่งเสียงเรื่องนี้มาตลอด โดยจากวันที่พูดเงินบาทแข็งค่า 7% ตอนนี้เหลือประมาณ 5% กว่า ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ กกร.ออกมาพูด ดังนั้นเรื่องค่าเงินจึงจะมีผลสำคัญต่อเศรษฐกิจในปีหน้า
เอกชนกังวล อีก 5 ปีเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าอาเซียน
สอดคล้องกับนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวถึงภาพรวมที่สำคัญเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย พร้อมแสดงความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในอีก 5 ปีข้างหน้า ว่าจะอยู่ที่ 2.7 % ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนอย่างมาก โดยปัจจัยที่ทำให้ขาดความน่าสนใจในการลงทุน มาจากปัญหาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ได้แก่ ปัญหาเชิงโครงสร้าง ประสิทธิภาพการผลิต และประสิทธิภาพของภาครัฐ ดังนั้น ถ้าจะข้ามผ่านกับดักดังกล่าว ต้องอาศัยการใช้เทคโนโลยีและแนวคิดด้านความยั่งยืนไม่ว่าจะเป็นการลดคาร์บอน (decarbonization) และการดูแลทรัพยากรสิ่งแวดล้อมให้สามารถใช้ประโยชน์สูงสุด

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย
ขณะเดียวกันยังต้องส่งเสริมเรื่องหลักนิติธรรม เพื่อลดต้นทุนแฝงทุกภาคส่วน เพิ่มแรงจูงใจให้คนไทยอยู่ในระบบและทำตามกฎกติกา ซึ่งรัฐบาลเริ่มแล้วจากโครงการ "คนละครึ่งพลัส ซึ่งให้แรงจูงใจแก่ผู้เสียภาษี แม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อย (400 บาท) แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญ
ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย เผยแนวโน้มการส่งออกในปี 2569 มีแนวโน้มสดใส หากสามารถบรรลุข้อตกลง MOA กับสหรัฐฯ และบรรลุการเจรจาFTA กับสหภาพยุโรป ในส่วน ภาคการท่องเที่ยว ที่ตัวเลขไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ ภาคเอกชนจึงเสนอให้นายกรัฐมนตรีเร่งสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวจีน สำหรับแนวทางพลิกเกมเศรษฐกิจไทยในระยะยาว มองว่าต้องมีการ "ปลดล็อก (Unlocking) และปฏิรูป (Transform)" ประเทศ เพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขันและตามทันการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของโลก การปลดล็อกประกอบด้วยการยกเลิกกฎระเบียบที่ล้าสมัย, การปลดล็อกกำลังซื้อของประชาชนและธุรกิจฐานรากผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพร้อมระบบการันตี, และการเร่งรัดการค้าระหว่างประเทศ เช่น FCA อาเซียน-แคนาดา นอกจากนี้ ยังต้องเร่งขับเคลื่อนการต่อต้านและปราบปรามปัญหาคอร์รัปชั่นที่เป็นเหมือนมะเร็งร้าย อย่างเข้มข้นผ่านกลไกต่างๆ

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย
“คลัง”ชี้เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ
ด้านนาย เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญจุดหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างแท้จริง เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก 4 แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกที่รุนแรง ได้แก่ การเปลี่ยนผ่านจากยุคการค้าเสรีไปสู่การค้าที่ต้อง "เลือกข้าง" สังคมผู้สูงอายุ โดยคนไทยส่วนใหญ่ "จนก่อนแก่" ทำให้กลายเป็นภาระการคลัง การก้าวเข้าสู่ยุค AI และดิจิทัลอย่างรวดเร็วและ กติกาโลกสีเขียวที่เข้มงวดขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลต่อความสามารถในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ที่นอกจากจะขาดการลงทุนมานาน ทำให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจเก่า

นาย เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรงการคลัง
นาย เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรงการคลัง
ขณะที่แรงงานขาดทักษะ หรือไม่ตรงกับความต้องการของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไตรมาส 4 จะโตเพียง 0.3% อีกทั้งยังเจอกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 80% ของ GDP และ SME ขาดสภาพคล่อง ขณะที่รัฐบาลมีเวลาจำกัดเพียง 4 เดือน ในการดำเนินนโยบาย "Quick Big" โดยมีหลักคิด คือ กระตุ้นสั้น, ได้ผลยาว, และกระจายตัว
“นายก”ย้ำไทยต้อง “รีเซต" โครงสร้างประเทศ
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แสดงปาฐกถาพิเศษ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย เน้นย้ำถึงการ ”รีเซต" โครงสร้างประเทศและ "ฟื้นตัว" ทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายระดับโลก ทั้งสงคราม ภูมิรัฐศาสตร์ โรคอุบัติใหม่ และการปฏิวัติเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ซึ่งทำให้ประเทศที่ปรับตัวช้าไม่เพียงเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ยังสูญเสียอำนาจต่อรอง อย่างไรก็ตาม การรีเซตนี้หมายถึงการ รีเซตวิธีคิด และวางรากฐานใหม่

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แสดงปาฐกถาพิเศษ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย เน้นย้ำถึงการ ”รีเซต
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แสดงปาฐกถาพิเศษ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย เน้นย้ำถึงการ ”รีเซต" โครงสร้างประเทศและ "ฟื้นตัว"
โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างความมั่นคงในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและความมั่นคงระหว่างประเทศ ในมิติความมั่นคง รัฐบาลเน้นการใช้พลังทางการทูต เศรษฐกิจ และการทหารในการแก้ปัญหาชายแดน, จัดการภัยสังคม (ยาเสพติด, อาชญากรรมออนไลน์) และปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งถือเป็นต้นทุนแฝงในระบบ นอกจากนี้ ยังต้องเร่งปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้ได้มาตรฐานสากลเพื่อรองรับการเข้าเป็นสมาชิก OECD
สำหรับการรีเซตทางเศรษฐกิจ มุ่งเน้นการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ลดหนี้ ด้วยมาตรการลดค่าครองชีพ และโครงการเศรษฐกิจเฉพาะกิจ "คนละครึ่งพลัส" ซึ่งคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานรากไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ควบคู่ไปกับการเสริมศักยภาพภาคเอกชนและ SME, การส่งเสริม Smart Farming, พลังงานหมุนเวียน (Green Economy) และการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลโดยนำ AI และ Big Data มาปรับใช้ ด้านสังคม รัฐบาลต้องรับมือกับสังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ

โดยสร้างระบบที่เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุ มีงานทำและมีรายได้ และนำหลัก Universal Design มาปรับใช้กับโครงสร้างพื้นฐาน ขณะเดียวกันต้องเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ผ่านการจัดตั้งตลาดคาร์บอนเครดิตและออกกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ. จัดการอากาศสะอาด และเร่งสร้างรัฐบาลดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและปราบปรามคอร์รัปชัน
“วันนี้ยากชวนให้ทุกคนร่วมมองอนาคตด้วยกัน เพราะคงไม่มีรัฐบาลไหนสามารถรีเซ็ตประเทศได้ลำพัง แต่จำเป็นต้องมีกำลังจากทุกฝ่าย วันนี้ประเทศไทยไม่ได้ขาดศักยภาพ แต่ขาดระบบที่ทำให้ศักยภาพนั้นทำงานอย่างเต็มที่ ผมอยากชวนทุกคนกลับมามองประเทศไทย ด้วยสายตาเป็นมิตร จริงใจ จะเห็นว่าประเทศไทยที่ไม่ใช่แค่ต้องการฟื้นตัว แต่เป็นประเทศไทยในเวอร์ชั่นที่พร้อมจะเติบโตอีกครั้งอย่างยั่งยืน และมีเป้าหมายว่าจะเป็นที่หนึ่งในภูมิภาคได้อย่างแน่นอน”
อ่านข่าว:
“ทองคำ”สินทรัพย์อมตะแห่งยุค 4 ปัจจัยบวกดันทองพุ่ง
ส่องตลาดบ้านหรู เป็นได้ทั้งพลุ-ระเบิดเวลา
“ชาไทย” จากท้องถิ่นสู่ตลาดโลก โอกาสใหม่เศรษฐกิจสร้างสรรค์