วันนี้ (12 ต.ค.2568) โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน แถลงการณ์ว่า ท่าทีของสหรัฐฯ เป็นตัวอย่างของการกระทำแบบสองมาตรฐาน หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 100% มีผลวันที่ 1 พ.ย.นี้ ทำให้สินค้าจากจีนที่ขายในสหรัฐฯ เผชิญภาษีนำเข้ารวมเพิ่มเป็น 130% จากที่ในปัจจุบัน สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าจีนอยู่ที่ 30%
ท่าทีดังกล่าวของทรัมป์ เป็นการตอบโต้การออกมาตรการเข้มงวดควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีน ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า เป็นการกระทำที่ก้าวร้าว และขู่จะยกเลิกกำหนดการพบหารือกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ระหว่างการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปค ที่เกาหลีใต้ ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
กระทรวงพาณิชย์จีน ยังระบุว่า ท่าทีของสหรัฐฯ เป็นภัยต่อผลประโยชน์ของจีนและทำลายบรรยากาศการหารือทางเศรษฐกิจและการค้าของสองประเทศ ซึ่งการข่มขู่จะขึ้นภาษีจีนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมในการปฏิสัมพันธ์กับจีน
ขณะที่ชาวกรุงปักกิ่งส่วนใหญ่ มองว่า นโยบายของทรัมป์คาดเดาได้ยาก แต่ไม่หวาดกลัวต่อการคว่ำบาตรหรือนโยบายใด ๆ
บางคนคาดการณ์ว่า หากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ บานปลายอีกครั้ง จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเชื่อว่าผลกระทบส่วนใหญ่อาจจำกัดอยู่ในภาคการนำเข้า-ส่งออก ขณะเดียวกันตั้งข้อสังเกตว่า ภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น อาจกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ เพราะจะทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น
สำหรับมาตรการใหม่ดังกล่าว สินค้าจีนที่เข้าไปในสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 130% ในเดือน พ.ย. ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 145% ที่เคยถูกเรียกเก็บในช่วงต้นปี 2568 ก่อนที่สหรัฐฯ กับจีนจะตกลงลดภาษีระหว่างกันชั่วคราว โดยปัจจุบันสหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 30% ส่วนจีนเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ 10%
อ่านข่าว : ทรัมป์-การเมืองโลก-สงครามยืดเยื้อ ปัจจัย "ทองคำ" ดีดตัวไม่หยุด
สตรีเหล็กผู้ไม่ยอมจำนน "มาเรีย มาชาโด" เจ้าของโนเบลสาขาสันติภาพ 2025
เกาหลีเหนือโชว์พลัง ฉลอง 80 ปี พรรคแรงงาน พาเหรดอาวุธล้ำสมัย
แท็กที่เกี่ยวข้อง: