และแล้ว “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” สส.เชียงใหม่ 5 สมัยพรรคเพื่อไทย ได้รับไฟเขียวจาก “ตระกูลชินวัตร” ให้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคฯ คนที่ 9 ต่อจาก “แพทองธาร ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ผันตัวเองมาเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยมี “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” สส. นครราชสีมา 6 สมัย ซึ่งอยู่ยาวกับพรรคเพื่อไทยมาตลอด สมัยเป็น ไทยรักไทย-พลังประชาชน เป็นเลขาธิการพรรค
พรรคเพื่อไทยก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2550 ผ่านมา 18 ปี "เพื่อไทย" มีนักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคถึง 8 คน คือ นายบัณจงศักดิ์ วงศ์รัตนวรรณ ตามด้วย ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช, นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ, นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ, พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์, นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์, นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว, และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
การเข้ามารับตำแหน่งของ “จุลพันธ์” ในช่วงคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย ซึ่งทุกสำนักโพลชี้ว่า “ตกต่ำ” ขีดสุดจากประเด็นคลิป-เสียง “ลุง หลาน” รุกลามบานปลาย จนเกิดเหตุปะทะระหว่าง ทหารไทย-กัมพูชา เป็นเหตุให้ ทหารไทยเสียชีวิต 16 นายจาก “สมรภูมิสู้รบ” และอีก 6 นาย เหยียบกับระเบิดจนเสียขา ส่งผลต่อการเลือกตั้งซ่อมในหลายพื้นที่ ถือเป็นโจทย์ใหญ่สำคัญว่า “เพื่อไทย” จะสามารถรักษาแชมป์ลำดับ 2 ที่เคยครองอยู่หรือไม่ โดยเฉพาะในเขตที่อีสาน
วันนี้ เราพร้อม “ยกเครื่องพรรค” ให้ตอบโจทย์ยุคสมัยมากขึ้น ให้มีการสื่อสารกับประชาชนที่รวดเร็ว โปร่งใส และจริงใจ มีการคัดเลือกผู้สมัครที่มีคุณภาพและมีความเสียสละ และมีนโยบายที่ไม่เพียงถูกใจ แต่ต้องตอบโจทย์ชีวิตประชาชนจริงๆ จุลพันธ์ กล่าว หลังได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่
 
    
  หากนับปฏิทินการเมืองถอยหลัง ตามที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี เคยระบุก่อนหน้านี้ว่า การยุบสภาตาม MOA ที่ให้กับพรรคประชาชน ไทมไลน์จะอยู่ในช่วงวันที่ 31 ม.ค. 2568 ขณะเดียวกันมีการโยนหินถามทางว่า “เร็วสุด” อาจจะเกิดขึ้นก่อนในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า หรือเดือน ธ.ค.นี้ จึงมีคำถามว่า พรรคเพื่อไทยจะระดมสรรพกำลังและพลพรรคทันหรือไม่
แม้พรรคเพื่อไทยจะอ้างว่า ขณะนี้ “เลือดหยุดไหล” แล้วก็ตาม และคาดการณ์ว่าจะมี สส.ไหลเข้ามาเพิ่ม หากเป็นเช่นนั้น การปรากฏกายของ ผอ.สำนักงานพรรคพลังประชารัฐ “วราเทพ รัตนากร” สส.กำแพงเพชร อดีต รมว.ประจำสำนักนายกฯ สมัย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และ รมช.คลัง สมัย “ทักษิณ ชินวัตร” ที่จะหวนคืนถิ่นเก่า พร้อม สส.ในมือ ที่จะ” ตีจาก” ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะทำให้ “เพื่อไทย” สามารถเพิ่มจำนวนที่นั่ง สส. ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ได้จริงหรือ
ตรงกันข้าม กลับตอกย้ำให้เห็นว่า “เพื่อไทย” ภายใต้การนำของตระกูลชินวัตร จะไม่ยกอำนาจการบริหารพรรคให้คนนอก ยกเว้น ผู้ที่ตระกูลชินวัตร เลือกไว้ใจและสั่งการได้ ว่ากันว่า เป็นเสียงสั่งตรงจากคนคลองเปรม และ “ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” คนแดนไกล แล้วยังได้การสนับสนุนจาก “เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” และอดีตนายกฯ “เศรษฐา ทวีสิน” ด้วยเช่นกัน
 
    
  ในยามที่ “ทักษิณ” อดีตนายกฯ ยังอยู่ในเรือนจำ และ “จุลพันธ์” ผงาดในตำแหน่งหัวหน้าพรรค ขณะที่ “แพทองธาร” อดีตนายกฯยังมีคดีสำคัญ ๆ ติดตัวอีก 3-4 คดี เช่น คดีหุ้นบริษัท ประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่ง ป.ป.ช.รับไว้ไต่สวนตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย. 2567 มีการถือหุ้นในบริษัทนี้เกินกว่า 5% หรือไม่เพราะอาจขัดต่อพระราชบัญญัติการจัดการทรัพย์สินของรัฐมนตรี
คดี PN Transfer (ตั๋วสัญญาใช้เงิน) โดย ป.ป.ช. เริ่มต้นตรวจสอบคดีเมื่อเดือน ต.ค. 2567 โดยมุ่งเน้นไปที่การโอนหุ้นมูลค่ากว่า 4.4 พันล้านบาทภายในครอบครัวชินวัตร ซึ่งผู้ร้องเรียนมองว่าอาจเป็น "นิติกรรมอำพราง" เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
ปัจจุบันเรื่องอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยประสานงานกับกรมสรรพากรเพื่อพิจารณาร่วมกันคดีโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท โดยถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นการใช้งบประมาณที่ผิดประเภทและขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 144 หรือไม่ และอยู่ในการตรวจสอบของ ป.ป.ช. แล้ว
รวมทั้งคดีคลิปเสียงสนทนากับ “ฮุน เซน” ซึ่งล่าสุด ป.ป.ช.ได้ตั้งองค์คณะไต่สวนแล้ว หลังรับคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญที่มีคำสั่งให้ “แพทองธาร” พ้นตำแหน่งนายกฯ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา และความผิดด้านมาตรฐานจริยธรรม
ส่วน “ยิ่งลักษณ์” แม้จะเหลือคดีเดียว คือ โทษอาญาในคดีทุจริตรับจำนำข้าว ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาลงโทษ จำคุก 5 ปี จึงทำให้ทางเลือกของเพื่อไทยมีไม่มากนัก
หากไร้อำนาจต่อรอง โดยไม่มีพรรคการเมืองรองรับ “ชะตากรรม” ของเพื่อไทย คงไม่ต้องทำนาย อย่างไรก็ตาม การยึดกุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จของตระกูลชินวัตร แม้จะมีผลดีหาก สส. ไม่หนีตายไปพรรคการเมืองอื่น
แต่ก็ยังมีจุดตาย คือ พรรคเพื่อไทยจะหาเสียงอย่างไร และจะใช้อะไรไปต่อสู้ในการหาเสียงเลือกตั้งในครั้งหน้า ในปี 2569 หากนำยุทธศาสตร์ แตกแบงค์พัน ให้เกิดพรรคสาขาเช่นเดียวกับ “ประชาชาติ” ยังใช้ได้อีกหรือไม่
แม้กลุ่มสามมิตร “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” จะได้รับการแต่งตั่งให้เป็นผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย แต่ “พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ” ได้รับตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรคที่รับผิดชอบด้านบริหาร
 
    
  มีรายงานระบุว่า “ณัฐ คลังแสง” ลูกชาย “สุทิน คลังแสง” เคยมีแนวคิดอยากตั้งพรรคการเมือง และก่อนจะเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยตั้งใจจะสมัคร สส.ในนามพรรคประชาชน ซึ่งประเด็นดังกล่าว มองข้ามไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะหลังจากสิ้่นสุดเสียงระเบิด BM21 ตกใส่บ้านเรือนชาวบ้าน เล่นเอา สส.เพื่อไทยในอีสานแทบไร้ที่ยืนทางการเมือง
ดังนั้นหากมีการแหกมุ้ง ไปตั้งการตั้งพรรคการเมืองใหม่ ไม่ว่าจะนำโดย“ รัฐ-สุทิน คลังแสง” จาตุรนต์ ฉายแสง หรือกลุ่มของสมศักดิ์ เทพสุทิน และ “สุริยะ” ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากมีสายส่งกำลังบำรุงเพียงพอ
การหนีตายเพื่อเกิดใหม่ และรอจังหวะเข้าร่วมกับผู้ชนะ อาจจะดีกว่าลุยดงหนามอยู่กับ “จุลพันธ์” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยหรือไม่ โปรดจับตาแรงกระเพื่อมนับจากนี้
อ่านข่าว
เผยโฉมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยชุดใหม่ 29 คน
"ไทย-กัมพูชา" สงบศึก ปักหมุดหลักเขตชั่วคราว "พื้นที่อ้างสิทธิ"















