เคลื่อนย้าย-ชะงักงัน-ความกังวล : ความท้าทาย Gen Z เมียนมา
ช่วงเดือนสิงหาคม ถึง ตุลาคม 2568 โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNDP เผยแพร่รายงานต่อเนื่องกัน 3 ฉบับ เนื้อหาเกี่ยวข้องกับปัจจัยที่เป็นความท้าทายและปัญหาที่กลุ่มคนหนุ่มสาวชาวเมียนมา ช่วงอายุ 18-35 ปี (Gen Z) ต้องเผชิญหลังเหตุการณ์รัฐประหารในเมียนมา พ.ศ.2564
“A Generation on the Move” “A Generation on Hold” และ “A Generation on Edge” คือ รายงาน 3 ฉบับที่ UNDP เผยแพร่ช่วงเดือนสิงหาคม ถึง ตุลาคม 2568
รายงาน 3 ฉบับ เผยแพร่โดย UNDP เกี่ยวกับปัจจัยความท้าทายและปัญหาที่กลุ่มคนหนุ่มสาวชาวเมียนมาเผชิญ
รายงาน 3 ฉบับ เผยแพร่โดย UNDP เกี่ยวกับปัจจัยความท้าทายและปัญหาที่กลุ่มคนหนุ่มสาวชาวเมียนมาเผชิญ
กลุ่มตัวอย่างหนุ่มสาวชาวเมียนมากว่า 7,000 คน ในปี 2567 สะท้อนสภาพที่กำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอ ประเทศเมียนมาตกอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ความไร้หวังจากวิกฤตการศึกษาที่ส่งผลต่อการจ้างงาน
หนุ่มสาวหลายล้านคนเผชิญกับภาวะการชะงักงัน ไม่สามารถเรียนรู้ ไม่มีงานทำ หรือสร้างอนาคตของตนเองได้ บางส่วนตัดสินใจหลบหนีไปมีชีวิตใหม่ในประเทศที่ 3 เพราะไม่ต้องการเผชิญกับการถูกบังคับเกณฑ์ทหาร
ตั้งแต่พ.ศ. 2564 เป็นต้นมา หนุ่มสาวชาวเมียนมา อายุระหว่าง 18-35 ปี ประมาณ 300,000 - 500,000 คน อพยพไปต่างประเทศ หนึ่งในนั้นคือ ประเทศไทย
ผลการวิจัยของ UNDP เผยให้เห็นว่า 4 ใน 10 คน จะย้ายถิ่นฐานหากได้รับโอกาส เช่นเดียวกับผู้ที่มีการศึกษาสูงที่มีแนวโน้มตัดสินใจย้ายถิ่นฐานมากที่สุด
ในพ.ศ. 2567 เพียงปีเดียว มีชาวเมียนมาประมาณ 1,300,000 คน เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ในจำนวนนี้ เกือบ 1 ใน 3 แสดงเจตนาที่จะพำนักอยู่ประเทศไทยในระยะยาว ด้วยความใฝ่ฝันที่อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม แม้ว่าการลักลอบเข้ามาในประเทศไทยจะต้องใช้เส้นทางที่ผิดกฎหมายและอันตรายก็ตาม
Gen Z เมียนมา กับการเลือกตั้งในรอบ 4 ปี
รศ.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า ความไม่สงบในเมียนมา เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการอพยพของหนุ่มสาวเมียนมาอย่างต่อเนื่อง
เขาต้องการชีวิตทำมาหากินที่ดีขึ้น เมียนมาเต็มไปด้วยสงครามกลางเมือง ดังนั้น ก็ไปใช้ชีวิตในประเทศอื่นซึ่งอาจจะมีค่าแรงที่ดีกว่า หรืออย่างน้อยปลอดภัยกว่า ไม่ว่าจะในต่างประเทศหรือประเทศเพื่อนบ้าน ที่ไม่มีสงครามไฟลุกโชนแบบพม่า หนีมาหาชีวิตใหม่ แสงตะวันใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายสิบปีมาแล้วที่คนเมียนมาอพยพเข้ามาในค่ายผู้ลี้ภัยเป็นระลอก คิดว่าคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ไปตามเครือข่ายของผู้อพยพกลุ่มเดิมๆ ก็มีการส่งข่าวกัน เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องของการใช้ชีวิต
แต่ความท้อแท้ เหนื่อยใจว่าเมียนมาอาจไม่มีทางเจริญ ถ้าทหารไม่ออกจากการเมือง ถ้าเขายังล้มทหารไม่ได้ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่อื่น ไปบ่มเพาะกำลัง สะสมในพื้นที่ที่ปลอดภัยก่อน พร้อมก็อาจจะค่อยเข้าไปต่อสู้กับทหารเมียนมาอีกที ถ้ามีความหวัง มีช่องทางสู้ นี่เป็นอีกมุมมองจากนักวิชาการ ม.ธรรมศาสตร์
สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปเมียนมาเฟสแรกที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 28 ธันวาคมนี้ รศ.ดุลยภาคมองว่า ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาไม่ว่าจะเป็นช่วงชั้นไหน จะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก จะมีลักษณะยอมโอนอ่อนกับการเลือกตั้ง ถ้ามีช่องในการเจรจาในเรื่องกรอบสันติภาพ ก็อาจจะตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการ และ อีกกลุ่มคือกลุ่มหัวรุนแรง คือไม่เจรจา ยึดมั่นว่าทหารเมียนมาต้องถูกกำจัดออกไป
ผมก็เชื่อว่า เยาวชนหนุ่มสาว เขาน่าจะแบ่งออกเป็นสองส่วน
รศ.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มธ.
รศ.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มธ.
อีกเรื่องที่น่าจับตามอง คือ การใช้ชีวิตของเยาวชนหนุ่มสาว Gen Z จะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งประเด็นนี้ เขาเป็นผู้หนีภัยสงครามภายในประเทศ หรือ เขาอาจจะอยู่เมืองหนึ่ง แล้วอาจจะตีกับทหารเมียนมา แล้วไปสร้างเครือข่ายกำลังรบกับแนวร่วมกับกองทัพประชาชน ในบริเวณอื่นๆ อพยพไปมาขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์ทางการทหาร นี่คือกลุ่มผู้ที่ต้องอพยพภายในประเทศ
อีกกลุ่มคือผู้ที่เข้าไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย ตามตะเข็บชายแดนเมียนมา ไทย อินเดีย หรือเข้าไปอยู่ในประเทศไทย ไปทำมาหากินถูกกฎหมาย-ผิดกฎหมาย นี่คือ Gen z อีกกลุ่มหนึ่งของเมียนมา ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นพื้นที่ที่เขาจะใช้เป็นแหล่งเคลื่อนไหว
เมื่อถาม รศ.ดุลยภาค ว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นจะส่งผลอย่างไรต่อหนุ่มสาวเมียนมา อาจารย์มองว่า เป็นไปได้หลายทาง เช่น ทางหนึ่ง การเลือกตั้งอาจช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของสงครามกลางเมือง แต่หากต้องการให้จบจริงๆ ต้องเป็นการเจรจาสันติภาพทั่วประเทศ แล้วก็คุยกันว่า เมียนมาจะปกครองแบบประชาธิปไตยหรือไม่
คำถามก็คือ การเลือกตั้ง มันเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด แต่อีกด้านหนึ่งมันเป็นการเปลี่ยนการสร้างความชอบธรรม ให้กับเผด็จการในการแปลงรูปการเลือกตั้งแล้วครองอำนาจได้อีก
สำหรับการเลือกตั้งในประเทศเมียนมาเฟสแรก จะจัดขึ้นในวันที่ 28 ธันวาคม 2568 โดยจะจัดเฉพาะเขตพื้นที่ที่รัฐบาลทหารพม่าควบคุมได้เบ็ดเสร็จ ซึ่งมีรายงานว่า จะเกิดขึ้นใน 102 อำเภอ จากทั้งหมด 330 เขตทั่วประเทศ เพราะบางพื้นที่ยังคงเผชิญกับสงครามกลางเมือง
สำหรับเขตพื้นที่ที่ยังไม่สามารถจัดเลือกตั้งได้ อาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเมินว่า อาจเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ยังส่งผลให้มีการอพยพของหนุ่มสาวชาวเมียนมาเข้าสู่ประเทศที่ 3 อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลานี้
แท็กที่เกี่ยวข้อง:











