ปี 2567 รายงานของกระทรวงการคลัง มีชาวอเมริกันสูญเสียเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 327,350,029,000 บาท จากสแกมเมอร์และถูกฉ้อโกงลวงออนไลน์ มีการคาดการณ์ว่า คนทั่วโลกตกเป็นเหยื่อของอาชญากร สูญเสียกว่า 60,000, 000, 000 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือมูลค่า 1,963,799,964,000 บาท และตัวเลขความเสียหายที่แท้จริง อาจจะสูงกว่านี้หลายเท่าตัว และยังมีอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รายงานข้อมูลเข้ามา
มีรายงานจากหน่วยความมั่นคง ระบุตรงกันว่า “รังใหญ่”ของศูนย์สแกมเมอร์อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะใน เมียนมา ,กัมพูชา และปัจจุบันได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ไปตั้งฐานใหม่อยู่ในสปป.ลาว หลังเมียนมาเปิดปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งจีนเทาอาชญากรข้ามชาติที่เมืองชโวก๊กโก และเมืองเมียวดี ฝั่งตรงข้ามอ.แม่สอด จ.ตาก ติดชายแดนไทย อย่างหนัก ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
บางส่วนได้หลบหนีเข้าอยู่ในเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป. ลาว และพื้นที่อิทธิพลของชนกลุ่มน้อย ด้านเมืองพญาตองซู ฝั่งข้าม อ .สังขละบุรี จ.กาญจน บุรี แม้ปัจจุบัน ฝั่งไทยยังคงมีมาตรการตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เนต อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเมืองเทาในเงามืดด้านนี้มากนัก และยังคงใช้บริการดาวเทียมสตาร์ลิงก์ (Starlink) ของอีลอน มัสก์ เปิดอาคารที่ทำการหลอกลวงเหยื่อได้ไม่ต่างจากเดิม
ย้ายทัพศูนย์หลอกลวง ตั้งฐานใหม่ “ล้วง” ทรัพย์สิน
องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (International Criminal Police Organization) เผยแพร่รายงานเมื่อเดือนมิ.ย.2568 ระบุว่า กลุ่มสแกมเมอร์ ฉ้อโกงออนไลน์ได้ขยายไปตั้งฐานใหม่อยู่ในหลายประเทศทั่วโลก และที่ผ่านมามีเหยื่อจาก 66 ประเทศ ถูกเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ หลอกลวงและค้ามนุษย์เข้าไปทำงานในศูนย์สแกมเมอร์ดังกล่าว
ขณะที่ รายงานจากองค์กร Global Anti-Scam Alliance (GASA) ที่ทำการสำรวจข้อมูลประชาชนใน 42 ประเทศ จำนวน 58,329 คน พบว่าในปี 2567 มูลค่าความเสียหายทางการเงินจากการหลอกลวงออนไลน์ทั่วโลกนั้นสูงถึง 1.03 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 33.8 ล้านล้านบาท
มีชาวสหรัฐฯ ได้รับความเสียหายสูงสุดเฉลี่ย 3,520 ดอลลาร์ หรือคนละประมาณ 1.15 แสนบาท ขณะไทยได้รับความเสียหายสูงเป็นอันดับ 9 เฉลี่ย 1,106 ดอลลาร์ หรือคนละ 3.6 หมื่นบาท
ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลัง “สีหนุวิลล์” “พื้นที่มืดที่สุดของโลก” ฐานปฏิบัติการหลักของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติชาวจีน ปิดตัวลงเมื่อเดือนต.ค. 2567 กลุ่มจีนเทาได้กระจายตัวไปอยู่ในหลายพื้นที่ เช่น เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว เยื้องฝั่งตรงข้ามอ.เชียงแสน จ.เชียงราย และ เมืองเมียวดี เมืองชโวก๊กโก ในเมียนมา แต่เครือข่ายกลุ่มธุรกิจจีนเทา ที่ฝังรากลึกอยู่ในกัมพูชา ยังดำเนินธุรกิจหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง
นับจากปี 2561 กัมพูชากวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในสีหนุวิลล์ และ “เสอจื้อเจียง” ประธาน Yatai International Holdings Group ร่วมกับ “หม่องชิตตู่” ผู้นำกองกำลัง BGF ลงทุนสร้างเมือง “ชเวโก๊กโก่” เขตพื้นที่ตอนเหนือของเมืองเมียวดี ต่อมาได้สร้างเมืองKKPark อีกแห่งฝั่งทิศใต้ของเมียวดี
ร่วมกับ หวัน ค็อก คอย (Wan Kuok Koi) “ไอ้ฟันหลอ” เจ้าพ่อขบวนการอาชญากรรมใต้ดิน 14K อาชญากรระดับโลกที่ถูกขึ้นบัญชีดำในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร รวมกับแก๊งไต้หวันที่มีกลุ่มซูเหลียนปังหรือสหภาพไม้ไผ่ เป็นพันธมิตร (竹聯幫-Zhú lián bāng-Union Bamboo) ขยายอิทธิพล KK Park
ก่อน “เสอ จื้อเจียง” จะถูกตำรวจไทยจับเมื่อปี 2565 ข้อหาฉ้อโกงและหลอกลวงออนไลน์ชาวจีน มูลค่าเสียหายหลายพันล้านบาท และเพิ่งถูกส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศจีนเมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ในมุมมืดอีกด้านหนึ่งของกัมพูชา เฉิน จื้อ (Chen Zhi) แห่ง Prince Group ก็ขยับขึ้นทำเนียบเจ้าพ่อสแกมเมอร์ พร้อม ๆ กับการประกาศคว่ำบาตรขึ้นบัญชีดำของสหรัฐอเมริกา
ในเงามืด “ราชาสแกมเมอร์” ทุนจีนเทาข้ามชาติ
ราชาสแกมเมอร์ทุนจีนเทา ไม่ได้มีแค่ “ เฉิน จื้อ” ที่เป็นเป้าหมายหลัก ซึ่งถูกตรวจค้นสั่งยึดอายัดทรัพย์ในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ใต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ เท่านั้น แต่การตรวจสอบเครือข่ายสแกมเมอร์ภายใต้ทุนธุรกิจสีเทาซึ่งถูกนำไปฟอกที่ “Prince Group” แห่งเดียว ทว่าเครือข่ายธุรกิจที่ถูกชักใยบังหน้า ที่สร้างความเสียหายให้อเมริกันชนต้องสูญเงินจากการถูกหลอกลวงออนไลน์ 16.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ และกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ ต้องเปิดปฏิบัติการกวาดล้างข้ามชาติทลายฐานสแกมเมอร์
ด้วยพบว่า Prince Holding Group ของ เฉิน จื้อ (Chen Zhi) มีการขยายการลงทุนไปหลายๆ ประเทศ ภายใต้กิจการ PHIN Group โดยมี “ฟิลิปส์ เฉิน” ( Philip Chen) ชาวไต้หวัน ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเครือ Phin Group เข้าไปลงทุนทำธุรกิจในเอเชียและยุโรป เช่น ญี่ปุ่น กัมพูชา ไทย อังกฤษ
ยังไม่พบข้อมูลว่า Chen Zhi และ Philip Chen คือบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ทั้ง Prince Holding Group และ PHIN Group มีรูปแบบและเครือข่ายการทำธุรกิจไม่ต่างกัน
โดยกลุ่ม PHIN ก่อตั้งขึ้นในปี 2022 เป็นเจ้าของที่ดินในต่างประเทศมากกว่า 3.6 ล้านตารางเมตร มีพื้นที่พัฒนารวม 5 ล้านตารางเมตร มีโครงการครอบคลุมประเภทการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดมิเนียม คลับเฮาส์ และศูนย์การค้า อาคารสำนักงานคุณภาพสูง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย โรงแรมที่ให้บริการที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับสูงสุด
“ฟิลิปส์ เฉิน” ( Philip Chen) ไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชีบุคคลและนิติบุคลบริษัท 128 สหรัฐฯคว่ำบาตร แต่กลับพบว่ามี 3 รายชื่อนักธุรกิจกัมพูชา เชื่อมโยงกับธุรกิจของ เฉิน จื้อ (Chen Zhi) คือ “ยิม เลียก” (Yim Leak), ประธานคณะกรรมการบริษัท BIC Group ซึ่งมีบริษัทในเครือจำนวนมาก เจ้าของโครงการอสังหา ริมทรัพย์และที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ บนพื้นที่จำนวน 61 เฮกตาร์ที่ชื่อว่า One Phnom Penh “เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์” (Benjamin Mauerberger) หรือ เบน สมิธ, และ “ฮุน โต” (Hun To) มีเส้นทางธุรกิจสีเทาที่เอื้อต่อกัน
“ฮุน โต” (Hun To) เป็นหลานชายของ “ฮุน เซน “อดีตนายกฯกัมพูชา และเป็นลูกพี่ลูกน้องของ “ฮุน มาเนต” นายกฯ คนปัจจุบันของกัมพูชา
FinCEN (Financial Crimes Enforcement Network) ของสหรัฐ อเมริกา เผยรายงานว่า อาณาจักร “Huione Group” ของ “ ฮุนโต” เป็นหนึ่งในเส้นทางฟอกเงินระดับโลก มีการประกอบธุรกิจหลายประเภทครอบ คลุมพื้นที่เศรษฐกิจดิจิทัล เช่น การให้บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์และคริปโตผ่าน Huione Pay ส่วน Huione Guarantee ให้บริการเอสโครว์ผ่านแอปพลิเคชัน Telegram ถูกกล่าวหาว่าเป็นเครื่องมือสำคัญของเครือข่ายสแกมไซเบอร์
ในเดือนพฤษภาคม 2568 FinCEN รายงานว่า พบ Huione Group ของ “ฮุนโต” ฟอกเงินกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ Telegram ปิดช่องทางการให้บริการของ Huione Guarantee ทันที ขณะเดียวกันยังถูกกล่าวหาว่าเขาพัวพันกับเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์หลอกให้เหยื่อลงทุนในสิน ทรัพย์ที่ไม่มีอยู่จริง หรือที่เรียกว่า “pig-butchering “แต่“ ฮุนโต” ปฏิ เสธทุกข้อกล่าวหา
ส่วน เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (Benjamin Mauerberger) หรือ เบน สมิธ ไม่เคยทำธุรกิจในกัมพูชา แต่ถือสัญชาติกัมพูชา เป็นที่ปรึกษาเลขาธิการวุฒิสภากัมพูชาตั้งแต่ปี 2557 และเป็นที่ปรึกษาของ “ฮุน เซน” เขาถูกกล่าวหาว่าเป็น “ลอบบี้ยิสต์” ในเครือข่าย “ทุนสีเทา” และทำหน้าที่เชื่อมโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเงิน และการเมือง ข้ามพรมแดนไทย–กัมพูชา
เมื่อปี 2567 ในช่วงรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” และ อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนองนายกฯ และรมว.มหาดไทย เบน สมิธ ได้ขอ เปลี่ยนสัญชาติเป็นไทย แต่กรมการปกครองไม่อนุญาต เขาถูก รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ หลังมีภาพรับประทานอาหารร่วมกันระหว่าง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีไทย และร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม เผยแพร่ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม มีเพียงคำชี้แจงจาก วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายของอดีตนายกฯทักษิณเพียงว่า รู้จักกัน แต่ไม่เคยร่วมลงทุนอะไรด้วย และก็ขอให้ไปตรวจสอบว่า เบน สมิธ ลงทุนทำอะไรในประเทศไทยหรือไม่
“ภัยเงียบ” ส่งสแกมเมอร์ฝังตัว “โครงการทางเงินไทย”
เมื่อวันพุธที่ 19 พ.ย.2568 ทอม ไรต์ (Tom Wright) นักข่าวชาวอเมริกัน ได้มาบรรยายให้นักข่าวและผู้สนใจที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประ เทศไทย (FCCT) เปิดเผยเอกสารลับ ที่กล่าวอ้างว่า เบน สมิธ อยู่เบื้องหลังบริษัทสัญชาติสิงคโปร์ ที่ได้ลงนาม MOU กับรัฐบาลไทย เพื่อร่วมกันร่างกฎหมายการเงินดิจิทัลของประเทศไทย โดยส่งทีมผู้เชี่ยวชาญด้านไอที 500 คน เข้าไปฝังตัวในโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของไทย เพื่อขยายอิทธิพลและเข้าถึงระบบทางการเงินดิจิทัลของประเทศ
โดยได้รับการสนับสนุนจากนักการเมือง และผู้มีอิทธิพลที่ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานที่กำหนดนโยบายด้านการเงินของไทยโดยตรง
นอกจากนี้ “ทอม ไรต์” ได้ชี้เป้าไปที่บุคคลคนหนึ่ง ที่เคยเป็นผู้บริหารของบริษัทหลักทรัพย์ในไทย รับรู้ถึงการเปลี่ยนมืออย่างผิดกฎหมาย และปัจจุบันบุคคลดังกล่าว เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานของรัฐ ที่กำหนดนโยบายด้านการเงินของประเทศ จึงไม่แปลกหากจะมีส่วนในการ “ดึงเช็ง” ไม่ให้การสืบสวนและคดีมีความคืบหน้าเท่าที่ควร และยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า
จริง ๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่สแกมเมอร์ระดับโลกจะต้องมี นอกจากความคุ้มครองจากรัฐบาลในประเทศนั้น ๆ แล้ว ต้องอาศัย Data Center ที่มีมั่นคง ต้องใช้พลังงานที่มีความเสถียร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญว่าทำไม บริษัทพลังงาน จึงเป็นสิ่งที่เขาและเครือข่ายต้องการครอบครอง
ขณะที่ฝั่งของ เบน สมิธ ผู้ถูกกล่าวหา มีรายงานเมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า ได้มอบอำนาจให้ “ชูชาติ กันภัย” ทนายความ แจ้งความเอาผิด “ทอม ไรต์” ในคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาที่สน.สำเหร่ และ ระบุว่า “เบน สมิธ” ไม่ใช่บุคคลสาธารณะที่ถูกวิจารณ์ได้ ไม่ได้ทำธุรกิจสแกมเมอร์ หรือมีการฟอกเงินตามที่ถูกกล่าวหา
ขบวนการหลอกลวงออนไลน์ และ “สแกมเมอร์”ข้ามชาติ ส่งผลกระทบรุกลามไปทั่วโลก การปราบปราม ยึดอายัดทรัพย์สิน อาจเป็นมาตร การปลายทางของการป้องกันการฟอกเงินทุนเทา แต่ภายใต้เงาธุรกิจมืดที่ทุกฝ่ายล้วนมีผลประโยชน์ จะแก้ไขและป้องกันอย่างไร เพื่อมิให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อและสูญเสียทรัพย์สินจนหมดตัว
อ่านข่าว
ต่างชาติตะลุยไล่ยึดทรัพย์ “เฉิน จื้อ” บิ๊กบอสเครือข่ายสแกมเมอร์
แท็กที่เกี่ยวข้อง:











