ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

“เศรษฐกิจไทย” ปี69 ยังเสี่ยงรอบด้าน ทีทีบี คาด GDPโตเพียง 1.6%

เศรษฐกิจ
17:23
58
“เศรษฐกิจไทย” ปี69 ยังเสี่ยงรอบด้าน ทีทีบี คาด GDPโตเพียง 1.6%
ศูนย์วิจัยทีทีบี คาดเศรษฐกิจไทยปี 2569 โตเพียง 1.6% หลังปัจจัยหนุนแผ่วลง-ปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ฉุดเศรษฐกิจขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 ปี ชี้จะเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความจริงมากกว่าปีที่ผ่านมา เผย ท่องเที่ยว-ลงทุนต่างชาติยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในปีหน้า

วันนี้ ( 11 ธ.ค.2568) ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะอยู่ที่ 1.6% ชะลอลงจากปีก่อนที่ราว 2% จากปัจจัยชั่วคราวที่เคยช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากการเร่งส่งออกสินค้าจะทยอยหมดลง ขณะที่แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอื่นที่เคยผลักดันเศรษฐกิจในอดีตก็มีข้อจำกัดในการเติบโต แม้ว่าการท่องเที่ยวและการลงทุนต่างชาติจะยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในปีหน้า แต่เพดานการฟื้นตัวเริ่มจำกัดเช่นกัน จากรายได้ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำ ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติที่เข้ามาในระยะหลังเน้นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจน้อย

ปัจจัยหนุนแผ่วลง-ปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ฉุดเศรษฐกิจปี 2569 โตต่ำสุดในรอบ 5 ปี มาจากการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จนถึงครึ่งแรกของปี 2569 ซึ่งแม้ว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากการขึ้นภาษีนำเข้าศุลกากรของทรัมป์จะไม่รุนแรงอย่างที่เคยประเมินไว้ แต่ปัจจัยชั่วคราวที่เคยช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากการเร่งส่งออกสินค้าซึ่งส่งผลบวกต่อกิจกรรมในภาคส่งออกและภาคอุตสาหกรรมจะทยอยหมดลง

ขณะที่แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เคยผลักดันเศรษฐกิจในอดีตก็มีข้อจำกัดในการเติบโต และยังไม่มีตัวไหนเป็นเครื่องยนต์ของเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยปัจจัยฉุดรั้งที่สำคัญในปี 2569 ไม่ว่าจะเป็น การชะลอตัวของภาคส่งออกจากหลายสาเหตุ ได้แก่ ผลของการเร่งตัวผิดปกติในช่วงต้น (Front-loading) ในการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา จึงทำให้ปริมาณสต็อกสินค้าในต่างประเทศค่อนข้างสูง การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ จากผลกระทบของภาษีทรัมป์ที่จะเห็นชัดเจนขึ้นในปี 2569 และความกังวลจากภาวะฟองสบู่ในการลงทุนด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

กำแพงภาษี “ฉุด” แข่งขันส่งออกไทย

รวมถึง ความเสี่ยงจากการถูกตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเติมภายใต้ข้อกฎหมายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะครอบคลุมกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงจะถูกสวมสิทธิ (Transshipment Risk) และสินค้าที่สำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ (Strategic Products) และ การแข่งขันในสินค้าส่งออกของไทยในตลาดสหรัฐฯ และตลาดหลักอื่นที่จะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จากความเสียเปรียบด้านราคา โดยเป็นผลพวงหลังสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการลดอัตราภาษีสูงเป็นระยะเวลา 1 ปี อีกทั้งจีนยังมีแนวโน้มกระจายการส่งออกไปยังประเทศอื่นมากขึ้นจากกำลังการผลิตที่อยู่ในระดับสูง

นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง แม้มีการส่งสัญญาณเลือกตั้งใหม่ในช่วงเดือนก.พ. 2569 แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองคาดว่าจะยังคงอยู่และอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองในระยะต่อไป ซึ่งนอกจากจะกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการภาครัฐจำนวนมากในปีงบประมาณ 2569 แล้ว ยังอาจส่งผลให้การจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 มีความเสี่ยงที่จะล่าช้าออกไปจากช่วงเวลาปกติ

ข้อจำกัดด้านงบประมาณและความพยายามลดการขาดดุลทางการคลัง จะทำให้พื้นที่ทางการคลังที่เหลืออยู่ถูกดึงไปใช้แก้ไขปัญหาแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อประคองภาพเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่

ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีข้อจำกัดในการเติบโตมากขึ้น ส่วนหนึ่งจากเม็ดเงินกระตุ้นการจับจ่ายถูกดึงมาใช้ตั้งแต่ปลายปี 2568 มาจนถึงต้นปี 2569 และอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อประชาชนและเม็ดเงินที่จะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี

ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูงเกินกว่า 80% ของจีดีพีมาเป็นระยะเวลายาวนานมากกว่า 10 ปี จะยังคงบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชนต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้แรงซื้อในหมวดสินค้าคงทน (เช่น รถยนต์และที่อยู่อาศัย) อาจยังไม่สามารถกลับสู่ระดับเดิมเหมือนในอดีต

ลุ้น กนง. ลดดอกเบี้ยส่งท้ายปีอีก0.25%

อย่างไรก็ตาม ttb analytics ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในรอบการประชุมเดือนธ.ค.สู่ระดับ 1.25% สิ้นปี 2568 พร้อมกับการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อลงในปี 2568-2569

อย่างไรก็ตาม ttb analytics ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงอยู่ที่ 0.75-1% สิ้นปี 2569 ซึ่งจะเป็นการปรับนโยบายทางการเงินให้มีความสมดุล (Recalibration) และสอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอลงในหลายภาคส่วน นอกจากนี้ การผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่องจะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนี้แก่ภาคครัวเรือนและ SMEs ควบคู่ไปกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้แบบเฉพาะเจาะจงอื่น ๆ เช่น โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2569 คาดว่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐมีทิศทางแข็งค่าขึ้นได้บ้างในช่วงครึ่งแรกของปี ตามการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงต่อเนื่องตลอดทั้งปี ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รวมถึงปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและวินัยทางการคลังของสหรัฐฯ

แนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทอาจมีค่อนข้างจำกัดจากความเปราะบางด้านปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทกับราคาทองคำในตลาดโลกที่ลดลงอย่างมีนัย โดยเฉพาะหลังจากที่ภาครัฐและธปท.ส่งสัญญาณเข้ามากำกับดูแลธุรกรรมทองคำอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เงินบาทมีจังหวะผันผวนและอ่อนค่าได้เพิ่มเติมในปีหน้า

“ภาคท่องเที่ยว”ยังเป็นพระเอกตลอดกาล ปี69 คาดโต 4.5%

สำหรับปัจจัยบวกปีหน้า ภาคท่องเที่ยวจะยังคงเป็นตัวแปรที่สำคัญ โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2569 จะอยู่ที่ประมาณ 34.5 ล้านคน หรือเติบโต 4.5% จากปีก่อน จากตลาดนักท่องเที่ยวในกลุ่มอินเดีย รัสเซีย และยุโรปที่คาดว่าจะยังขยายตัวได้ สวนทางกับตลาดนักท่องเที่ยวหลัก เช่น จีน อาเซียน และเกาหลีใต้ที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ส่วนหนึ่งจากความสามารถในการดึงดูดการท่องเที่ยวของไทยลดลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

นอกจากนี้ มิติของรายได้จากการท่องเที่ยวคาดว่าจะเติบโตเพียง 4% โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปยังต่ำกว่าปี 2562 จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ยิ่งกว่านั้น รายได้จากนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนเดียวกับจำนวนนักท่องเที่ยว ข้อจำกัดของการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากภาคบริการที่กระจุกอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจเมืองและภูมิภาคท่องเที่ยวหลัก เป็นจุดสะท้อนเพดานการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่จำกัดลงได้อย่างชัดเจน
น้ำท่วมใต้ 1 เดือน เสียหาย 1.4-2.7 หมื่นล้าน

ส่วนสถานการณ์อุทกภัยอย่างฉับพลันในพื้นที่ภาคใต้ในช่วงเดือนพ.ย.ถึงธ.ค.ที่ผ่านมา ประเมินความเสียหายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการท่องเที่ยวจะอยู่ที่ราว 1.4-2.7 หมื่นล้านบาทหรือ 0.07%-0.14% ต่อจีดีพี ภายใต้กรอบระยะเวลาที่ได้รับผลกระทบและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 1 ไตรมาส (ซึ่งความเสียหายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเดือนธ.ค. 2568)อีกทั้งยังกระทบต่อรายได้ของภาคธุรกิจทั้งหมดในพื้นที่น้ำท่วมราว 8.2 แสนล้านบาท ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ศูนย์กลางการค้าและการท่องเที่ยวหลักของหลายอำเภอในจ.สงขลาช่วงเทศกาลท่องเที่ยว

อีกทั้งยังส่งผลทางอ้อมต่อการตั้งเป้าหมายเม็ดเงินที่จะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในช่วงที่มีการจัดงานซีเกมส์ในสนามหลายแห่งในเมืองสงขลาและหาดใหญ่ โดยเฉพาะการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่มาเยือนจังหวัดสงขลา

สำหรับการลงทุนจากต่างชาติยังมีความท้าทายสูง แม้ที่ผ่านมาความต้องการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย สะท้อนจากมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในปี 2567 และ 9 เดือนแรกของปี 2568 ที่แตะระดับ 1 ล้านล้านบาทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบหลายปีและเติบโตอย่างมีนัยเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19

โจทย์ท้าทายที่สำคัญของไทยคือ การยกระดับห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมดั้งเดิมให้เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมโลกผ่านการเพิ่มกฎเกณฑ์ด้านถิ่นกำเนิด (Local Content / RVC) เพื่อสร้างแรงจูงใจการสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งระบบห่วงโซ่การผลิต (System-level Incentive) รวมถึงการเปลี่ยน มูลค่าการขอรับการสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ ให้กลายเป็น มูลค่าการลงทุนจริง ภายในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า

ดังนั้น ปี 2569 ถือเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความจริงมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา การเติบโตของเศรษฐกิจในระดับ 2% ต่อปีจะกลายเป็นภาพสะท้อนของดุลยภาพใหม่ในยุคที่เศรษฐกิจโตช้าลง (A New Balance of Lower Growth) ซึ่งสะท้อนความเปราะบางของปัจจัยเชิงโครงสร้าง ภาระหนี้สูงรอบด้าน และแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่กระจุกตัวในบางภาคส่วนในรูปแบบ K-Shape ที่รุนแรงมากขึ้น

อ่านข่าว:

จับตาดอกเบี้ยเฟด “ทรัมป์”(อาจ) ดัน“แฮสเซตต์”ขึ้นปธ.เฟด ทุบดอกเบี้ย ฉุดทองคำร่วง

สัญญานเตือน "ข้าวไทย" เสี่ยงรอบด้าน เร่งปรับพันธุ์ตอบโจทย์ตลาดโลก

"ภาษีทรัมป์" ป่วนการค้าโลก ทางรอดไทย "เจาะตลาดใหม่" กู้วิกฤตส่งออก