วันนี้ (17 ธ.ค.2568) นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผอ.หลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) ให้สัมภาษณ์รายการมุมการเมือง
ด้วยคำถามแรกผู้สื่อข่าวขอให้วิจารณ์จุดแข็งจุดอ่อนของ นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ (16 ธ.ค.2568)
นายพิชายกล่าวว่า เขามีข้อดีในความเป็นนักวิชาการ และภาพยังใส ไม่ปนเปื้อนทางการเมืองมากนัก เกิดความคิดว่า เขาจะดึงดูดคะแนนของคนรุ่นใหม่ หรือคนในเครือข่ายเสื้อแดงเก่า ๆ เข้ามาได้ นี่คือข้อดี
แต่ข้อที่เป็นข้อจำกัด เขายังเป็นวงศ์ตระกูลของชินวัตร มีโครงการสร้างอำนาจของเพื่อไทยเป็นฐานค้ำอยู่ ที่ผ่านมาเราเห็นกันชัดเจนว่า เพื่อไทยพร้อมจับมือกับอำนาจเก่าทุกครั้งที่มีโอกาส
ฉะนั้นมันอาจทำให้บรรดากลุ่มคนที่เคยคิดว่าเพื่อไทยมีจุดยืนประชาธิปไตยเดิม อาจไม่หันมาสนับสนุนนายยศชนันเท่าไรนัก เพราะคน ๆ เดียว คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจุดยืนหรือทิศทางของพรรคได้ มันยังคงเป็นไปตามความประสงค์ของชินวัตรเป็นหลัก นี่คือข้อจำกัด
แต่ถ้าเขาต้องการให้ได้รับการสนับสนุน จะต้องประกาศจุดยืนชัดเจนว่า จะต้องเปลี่ยนทิศทางของพรรค ไม่เหมือนสองปีที่ผ่านมา แต่เมื่อประกาศแล้วคนจะเชื่อหรือไม่นั้น เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ตราของเพื่อไทยที่ถูกประทับว่า ตระบัดสัตย์มันจะยังติดตามไปอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่า อีก 2 ชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย พอจะช่วยเรียกคะแนนได้หรือไม่ นายพิชายกล่าวว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ภาพลักษณ์ไม่ดีเท่าไร อาจช่วยไม่ได้ แต่การมีอยู่ของนายสุริยะในพรรคไม่ใช่เพื่อเรียกคะแนน แต่อยู่เพื่อตรึงไม่ให้เพื่อไทยเลือดไหลมากไปกว่านี้ การดึงให้เขาอยู่ ก็ต้องมอบตำแหน่งอย่างแคนดิเดตนายกฯ ให้
ส่วน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็นผู้จัดการที่คอยประสานฝ่ายต่าง ๆ ในพรรคเพื่อไทย และทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนเชิงสัญลักษณ์ คะแนนในโพลได้ 6 % เท่านายชัยเกษม นิติสิริ เลย แสดงว่า ฐานะยังดี
เมื่อถามว่า ตอนนี้เปิดแคนดิเดตครบสามคน คะแนนนิยมพรรคเพื่อไทยจะดีขึ้นหรือไม่ นายพิชายกล่าวว่า ยังไม่เห็นว่าน้ำหนักจะดีขึ้น เขาต้องดึงคนที่เคยสนับสนุนเขากลับมาให้ได้ มันไม่ใช่ภารกิจที่ง่าย คนที่เปลี่ยนใจจากเพื่อไทย มันเปลี่ยนช่วงไตรมาส 2 ที่มีกรณีคลิปเสียง ซึ่งทำให้คะแนนหดหายมาก การดึงกลุ่มนี้เข้ามาอีกมันเป็นไปได้ยากมาก ภาพเหล่านี้ยังอยู่ในภาพจำ เต็มที่เขาอาจขยับเพิ่มได้สัก 2-3 % เท่านั้น
เมื่อถามว่า นายยศชนัน แสดงวิสัยทัศน์ถึงนโยบายใหม่ ๆ เหล่านี้จะเรียกคะแนนได้หรือไม่ นายพิชายกล่าวว่า ประเด็นของคนรุ่นใหม่ที่ออกไปจากพรรคเพื่อไทย เขาเลิกหนุน เพราะจุดยืนไม่ใช่นโยบาย ดังนั้นการดึงคนพวกนี้กลับมาต้องแถลงระดับจุดยืน ไม่ใช่ขายนโยบาย จึงจะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวกลับมาได้
ความยากคือ จุดยืนต้องอาศัยความเชื่อมั่น ถ้าคนยังไม่เชื่อมั่น หรือพรรคยังไม่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงจุดยืน นโยบายอะไรก็คงไม่มีอิทธิพลโน้มน้าว
เมื่อถามว่า แคนดิเดตพรรคภูมิใจไทย ถือว่ากลมกล่อมรึยัง (นายอนุทิน ชาญวีรกูล, นางศุภจี สุธรรมันธุ์ , นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) นายพิชายกล่าวว่า มันไม่ได้กลมกล่อมอะไรหรอก เพราะ 3 เดือนมานี้ ได้เห็นกันแล้วว่า เขาทำอะไรได้ขนาดไหน หากอยากให้ประเทศเป็นแบบที่ผ่านมา ก็เลือกภูมิใจไทยต่อไป ก็คงได้เครือข่ายเดิม ๆ มาอยู่เหมือนเดิม
แน่นอนว่า มีคนอยากสนับสนุนให้ประเทศเป็นแบบนี้อยู่ แต่ผมคิดว่าคนอื่น ๆ ที่เหลือที่เขาเคยลองมาแล้ว ตอนนี้ในโพลเหลือคนนิยมเขาประมาณ 12 % แต่จะขยายต่อนั้นยาก เพราะพรรคนี้ไม่มีนโยบายอะไรโดดเด่นมาดึงดูดคนเท่าไรนัก
ผู้สื่อข่าวถามว่า แคนดิเดตพรรคประชาชนว้าวหรือยัง นายพิชายกล่าวว่า พรรคประชาชนยังต้องปรับปรุง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวห้าพรรค คะแนนนิยมตกมาเหลือ 17-20 % แสดงว่า ตัวเขายังไม่ได้สร้างบารมีโน้มน้าวจูงใจคนให้เชื่อมั่นว่า เขาเป็นนายกฯ ได้เท่าไรนัก นี่คือจุดที่ต้องพัฒนาต่อ
แต่ในขณะเดียวกันมันมีตัวเสริมเข้ามาคือ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล และ นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน สองคนนี้ต้องออกมาแสดงบทบาทมากขึ้น เพราะช่วงหลังไม่ค่อยเห็นเขาปรากฏตัวตามสื่อเท่าไรนัก
สิ่งที่ต้องตระหนักคือ หากผู้นำคนเดียวไม่มีพลังพอก็ต้องอาศัยทีมเข้ามาช่วย นี่เป็นโจทย์ที่เขาต้องพัฒนาทีมผู้นำ ให้คนเชื่อมั่นได้ขนาดไหนในเวลาสองเดือน
เรียบเรียง : อุรชัย ศรแก้ว ผู้สื่อข่าวการเมือง ไทยพีบีเอส
อ่านข่าว :
กกต.ติวเข้ม 74 พรรคการเมือง แจงข้อกฎหมายเตรียมพร้อมเลือกตั้ง 8 ก.พ.69
ปะทะไทย-กัมพูชา ซ้ำเติมเกษตรกรชายแดน กระทบสัตว์ 6.5 ล้านตัว
นักจิตวิทยา ชี้ปะทะชายแดน กระทบความเป็นอยู่ ปชช. พบเครียดสะสมเสี่ยงซึมเศร้า-ทำร้ายตนเอง











