พล.อ.อ.ประภาส สอนใจดี ผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วม สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันว่า การดำเนินการทางทหารใด ๆ ของประเทศไทย มีเป้าหมายเพื่อป้องกันตนเองจากภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจริง และดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law: IHL) มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองพลเรือนและจำกัดความรุนแรงให้จำเป็นและได้สัดส่วน ดังนี้
1. ฐานทางกฎหมาย : สิทธิในการป้องกันตนเอง ตามมาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ รัฐมีสิทธิโดยกำเนิดในการป้องกันตนเอง เมื่อเผชิญการโจมตีด้วยกำลังอาวุธ ประเทศไทยไม่มีเป้าหมายในการยึดครองดินแดนหรือทำลายรัฐคู่ขัดแย้ง แต่มุ่งยุติภัยคุกคามต่อประชาชนและอธิปไตยของไทย
2. หลัก IHL ที่ไทยยึดถือในการใช้กำลัง โดยเฉพาะการโจมตีทางใช้กำลังทางอากาศของไทย
2.1 หลักแยกแยะ (Distinction) โจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหาร และแยกจากพลเรือน-วัตถุพลเรือนอย่างชัดเจน
2.2 หลักได้สัดส่วน (Proportionality) ความเสียหายต่อพลเรือนต้องไม่เกินสมควร เมื่อเทียบกับประโยชน์ทางทหารที่เป็นรูปธรรม
2.3 หลักระมัดระวัง (Precaution) ใช้มาตรการทุกทางที่ทำได้เพื่อลดผลกระทบต่อพลเรือน เช่น ตรวจสอบเป้าหมาย เลือกเวลา-วิธีการที่เหมาะสม
2.4 ห้ามโจมตีแบบไม่เลือกเป้า (Indiscriminate Attacks) ห้ามการโจมตีที่ไม่ชี้เฉพาะเป้าหมาย หรือไม่สามารถจำกัดผลกระทบตาม IHL
2.5 ความจำเป็นทางทหารและมนุษยธรรม (Military Necessity & Humanity) ใช้กำลังเท่าที่จำเป็นเพื่อยุติภัยคุกคาม และหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานที่ไม่จำเป็น
3. การประเมินความชอบธรรม : ไม่ตัดสินจาก "ภาพ" เพียงอย่างเดียว การเกิดความเสียหายต่อพลเรือน ไม่ได้แปลว่าผิดกฎหมายโดยอัตโนมัติ การประเมินตาม IHL พิจารณาจากการเลือกเป้าหมาย มาตรการป้องกันและการประเมินได้สัดส่วน ณ เวลาตัดสินใจ
พล.อ.อ.ประภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า IHL อนุญาตให้รัฐป้องกันตนเอง แต่กำหนดให้ใช้กำลังอย่างยับยั้งชั่งใจ แยกแยะเป้าหมาย ชั่งสัดส่วน ระมัดระวังและคุ้มครองพลเรือน ซึ่งประเทศไทยยึดถือและปฏิบัติตามหลักการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
อ่านข่าว
ทบ.ยันกระสุนคลัสเตอร์ใช้เฉพาะเป้าหมายทหาร ไม่ใช่อาวุธทำร้ายพลเรือน
ทบ.โต้กัมพูชา ยืนไทยยึดกฎหมายสากล ไม่เคยกระทำอาชญากรรมสงคราม











