สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
คือหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาของไทย ทำหน้าที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยที่ได้รับมอบอำนาจอธิปไตยจากประชาชนผ่านการเลือกตั้ง เพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์และแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนในระดับชาติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 95 ระบุชัดเจนว่าสภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิก 500 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งทั่วไป และมีวาระ 4 ปี
ในปี 2568 ได้เกิด พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2568 ส่งผลให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นโอกาสให้ประชาชนได้เลือกผู้แทนใหม่ที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น
ทำไมเราต้องเลือก สส. - พวกเขามีหน้าที่อะไรบ้าง ?
การเลือกตั้ง ส.ส. ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคน เนื่องจากเป็นการมอบอำนาจให้ผู้แทนไปบริหารจัดการเงินภาษีอากรและกำหนดนโยบายแผ่นดิน ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน หากไม่ไปใช้สิทธิ อาจทำให้ผู้แทนที่ได้ไม่สะท้อนเสียงของเรา ข้อมูลจากรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 101-110 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ระบุหน้าที่และอำนาจของ สส. แบ่งเป็นด้านหลักดังนี้
ด้านการออกกฎหมาย (นิติบัญญัติ)
สส. มีอำนาจเสนอและพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. เพื่อตราเป็นกฎหมายบังคับใช้ โดยกระบวนการพิจารณาในสภามี 3 วาระหลัก คือ
- วาระรับหลักการ (พิจารณาความเหมาะสมโดยรวม)
- วาระพิจารณารายมาตรา (ปรับแก้รายละเอียดทีละมาตรา)
- วาระ 3 ลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ
หากผ่านทั้งสภาและวุฒิสภาแล้ว จะทูลเกล้าฯ พระมหากษัตริย์ เพื่อลงพระปรมาภิไธย
ด้านงบประมาณแผ่นดิน
สส. ต้องพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งรัฐบาลเสนอพร้อมแหล่งรายได้และผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวัง โดยต้องแล้วเสร็จภายใน 105 วันนับแต่รับร่าง เพื่อให้เงินภาษีถูกนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา สุขภาพ และสวัสดิการสังคมอย่างโปร่งใส เช่น ในปีงบประมาณ 2569 คาดว่าจะมีงบรวมกว่า 3 ล้านล้านบาทที่ สส. ต้องตรวจสอบ
ด้านการตรวจสอบและควบคุมการบริหาร
หรือจะเรียกว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำกับรัฐบาล โดย สส. สามารถใช้กลไกหลากหลาย เช่น การตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีเกี่ยวกับหน้าที่ (ม.151) เพื่อให้คำตอบภายใน 7 วัน การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลหรือทั้งคณะ (ม.152) ซึ่งต้องมี สส. เสนอไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 หรือ 100 คน และต้องได้เสียงเกินครึ่งสภาอนุมัติ หรือการอภิปรายเพื่อซักถามข้อเท็จจริงโดยไม่ลงมติ (ม.153) เพื่อเสนอแนะแก้ปัญหา เช่น การทุจริตหรือภัยพิบัติ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่อนุมัติ พ.ร.ก. ในยามฉุกเฉิน (ม.133) และให้ความเห็นชอบบุคคลที่พรรคเสนอเป็นนายกรัฐมนตรี (ม.159)
ด้านการเป็นที่พึ่งของประชาชน
สส. ไม่ได้อยู่แค่ในสภา แต่ต้องลงพื้นที่รับฟังปัญหา เช่น ถนนชำรุด น้ำท่วม หรือการเข้าถึงบริการสาธารณสุข โดยประสานงานกับหน่วยงานรัฐ เช่น กรมชลประทานหรือโรงพยาบาลท้องถิ่น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนทันที
ใครบ้างที่มีสิทธิสมัครเป็น สส. ?
1. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
2. มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง
3. เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคการเมืองเดียว เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในกรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไปเพราะเหตุยุบสภา ระยะเวลา 90 วันดังกล่าวให้ลดลงเหลือ 30 วัน
4. ผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ด้วย
- มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
- เป็นบุคคลซึ่งเกิดในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง
- เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปีการศึกษา
- เคยรับราชการหรือปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ หรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งแล้วแต่กรณี เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี
5. เป็นผู้ไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่น เป็นผู้ต้องโทษคดีอาญาหรือเคยทุจริตเลือกตั้ง ซึ่ง กกต. ตรวจสอบเข้มในปี 2569 โดยคาดว่าจะมีผู้สมัครกว่า 3,000 คนทั่วประเทศ
ใครมีสิทธิเข้าคูหากาเลือก สส.
- มีสัญชาติไทย ถ้าแปลงสัญชาติต้องได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
- มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีในวันเลือกตั้ง
- เป็นผู้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง
สส. 500 คนมาจากไหน ?
แบ่งเป็น 2 ระบบคู่ขนานเพื่อความสมดุลระหว่างตัวแทนท้องถิ่นและพรรคการเมือง ข้อมูลจากรัฐธรรมนูญ 2560 ม.83 และ พ.ร.ป.เลือกตั้ง สส. 2561 ม.13 ระบุว่า
สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 คน มาจาก 400 เขตทั่วประเทศ โดยใช้ระบบ "เขตเดียวเบอร์เดียว" ประชาชนลงคะแนนเลือกผู้สมัครในเขตนั้น 1 คน ผู้ชนะคือผู้ได้คะแนนสูงสุด แต่ต้องมากกว่าคะแนน "ไม่เลือกผู้ใด" (Vote No) มิเช่นนั้นเขตนั้นจะเลือกใหม่
สส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน มาจากบัญชีที่พรรคจัดทำ (พรรคละไม่เกิน 100 ชื่อ ไม่ซ้ำกับแบ่งเขต) โดยคำนวณจากคะแนนรวมที่พรรคได้รับจากการลงคะแนนบัตรใบที่ 2 ทั่วประเทศ เพื่อให้พรรคเล็กมีโอกาสเข้าสภาและสะท้อนความนิยมพรรคโดยรวม
เจาะสูตรคำนวณ สส. บัญชีรายชื่อ 100 ที่นั่ง
การจัดสรรที่นั่งบัญชีรายชื่อ ใช้ระบบสัดส่วนเพื่อความเป็นธรรม ข้อมูลจาก พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2566 ระบุขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 หาคะแนนเฉลี่ย โดยนำคะแนนรวมทุกพรรคจากการเลือกตั้งบัญชีรายชื่อทั้งประเทศ หารด้วย 100 (จำนวนที่นั่ง) เช่น หากคะแนนรวม 50 ล้านคะแนน คะแนนเฉลี่ยต่อ สส. 1 คน คือ 500,000 คะแนน
ขั้นที่ 2 จัดสรรเบื้องต้น นำคะแนนแต่ละพรรคหารด้วยคะแนนเฉลี่ย เอาเฉพาะจำนวนเต็ม เช่น พรรค A ได้คะแนนทั้งหมด 10 ล้านเสียง นำ 500,000 คะแนนมาหาร จะได้ สส. 20 ที่นั่ง
ขั้นที่ 3 จัดสรรส่วนเหลือ หากรวมแล้วไม่ครบ 100 ให้เรียงพรรคตามเศษคะแนนจากมากไปน้อย แล้วมอบที่นั่งเพิ่มพรรคละ 1 จนครบ เช่น พรรคที่มีเศษ 499,999 คะแนน จะได้ก่อน
ขั้นที่ 4 ลำดับผู้ได้เลือก เรียงตามหมายเลขในบัญชีพรรค เช่น ลำดับ 1 ได้ก่อน สูตรนี้ช่วยป้องกันพรรคใหญ่ผูกขาด
สส. ได้เงินเดือนเท่าไหร่ ?
สส. ทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ จะได้รับค่าตอบแทนเท่าเทียมจากงบประมาณผ่านสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พ.ร.บ.ค่าตอบแทนค่าสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 (ปรับปรุงล่าสุดปี 2568) ระบุว่า เงินเดือนรวมเดือนละ 113,560 บาท (เงินประจำตำแหน่ง 71,230 บาท + เงินเพิ่ม 42,330 บาท) สำหรับตำแหน่งบริหาร ประธานสภา 125,590 บาท (75,590 + 50,000) รองประธานและผู้นำฝ่ายค้าน 115,740 บาท (73,240 + 42,500)
สวัสดิการอื่น ๆ ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลตามจริง เช่น
- ค่าห้องพักและอาหารวันละ 4,000 บาท
- ค่าตรวจสุขภาพประจำปี 7,000 บาท
- เบี้ยประชุมกรรมาธิการครั้งละ 1,500 บาท (อนุกรรมาธิการ 800 บาท)
- ค่าเดินทางเครื่องบินชั้นประหยัดหรือรถไฟชั้นหนึ่งเต็มจำนวน
- คณะทำงาน สส. 1 คน มีผู้ช่วยได้ 8 คน (ผู้เชี่ยวชาญ 1, ผู้ชำนาญการ 2, ผู้ช่วยดำเนินงาน 5) โดยผู้ช่วยได้รับเงินเดือนแยก ผู้เชี่ยวชาญเดือนละ 25,000 บาท
สส. ที่เป็นรัฐมนตรี จะรับเงินฐานะรัฐมนตรีเท่านั้น ไม่ซ้ำ และ ไม่มีบำนาญตลอดชีพ แต่มีเงินทุนเลี้ยงชีพหลังพ้นตำแหน่งไม่เกิน 4 ปี (สูงสุด 20,000 บาท/เดือน) เพื่อสนับสนุนการทำงานต่อสังคม โดยรวมแล้ว ค่าใช้จ่าย สส. แต่ละคนรวมทีมงานปีละกว่า 3,000,000 บาท เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มาข้อมูล : สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, สถาบันพระปกเกล้า, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
อ่านข่าวอื่น :
รายที่ 9 ทหารบาดเจ็บจากทุ่นระเบิด ใกล้ปราสาทตาควาย
ถก GBC ครึ่งบ่ายต่อ - ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียร่วมสังเกตการณ์
จ่อขอออกหมายจับ "บุรินทร์" ขัดขวางจับกุม ยิง ตร.เจ็บ 1 ปชช. 2 คน
แท็กที่เกี่ยวข้อง:
- การเลือกตั้ง สส
- หน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
- วิธีคำนวณ สส บัญชีรายชื่อ
- สส แบ่งเขตคืออะไร
- คุณสมบัติผู้สมัคร สส
- การใช้สิทธิเลือกตั้ง
- งบประมาณแผ่นดิน
- การเลือกนายกรัฐมนตรี
- เลือกตั้ง 2569
- เลือกตั้ง69
- เลือกตั้ง สส
- เสียงของทุกคนฝ่าวิกฤตประเทศไทย
- วันรับสมัครเลือกตั้ง สส
- รับสมัครเลือกตั้ง สส
- วันรับสมัคร สส
- ผู้สมัคร สส
- ข่าววันนี้
- ข่าวล่าสุด











