ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

13 สุภาษิตไทยเรื่อง “น้ำ” สอนชีวิต


Lifestyle

13 เม.ย. 68

สันทัด โพธิสา

Logo Thai PBS
แชร์

13 สุภาษิตไทยเรื่อง “น้ำ” สอนชีวิต

https://www.thaipbs.or.th/now/content/2577

13 สุภาษิตไทยเรื่อง “น้ำ” สอนชีวิต
บริการเสริมจาก Thai PBS AI

 

เรียนรู้บทเรียนล้ำค่าจากสุภาษิตไทยที่เปรียบเปรยกับ "น้ำ" ซึ่งถ่ายทอดภูมิปัญญาและประสบการณ์ของคนรุ่นก่อน สัมผัสความลึกซึ้งของภาษาไทยผ่านสุภาษิตสำนวนที่สอนใจให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท และเข้าใจโลกธรรมดา ซึ่งยังคงเป็นสุภาษิตที่มีประโยชน์และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสื่อสาร การทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือการดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท

"น้ำ" ในฐานะองค์ประกอบสำคัญของธรรมชาติ ได้ถูกนำมาใช้ใน "สุภาษิตไทย" อย่างหลากหลายและลึกซึ้ง เพื่อเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดภูมิปัญญาและคติสอนใจที่สืบทอดกันมาหลายยุคสมัย 

ความผูกพันระหว่างสังคมไทยกับ "น้ำ" นั้นแน่นแฟ้น สะท้อนผ่านวิถีชีวิต ประเพณี และความเชื่อต่างๆ และได้มีการรวบรวมและกลั่นกรองออกมาเป็นคำสอนที่คมคายและเข้าใจง่าย การศึกษา "สุภาษิตไทย" ที่เกี่ยวข้องกับ "น้ำ" ไม่เพียงแต่เป็นการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำความเข้าใจโลกทัศน์ของคนไทยในอดีต ที่สังเกตและตีความปรากฏการณ์ทางธรรมชาติมาเชื่อมโยงกับพฤติกรรมและสถานการณ์ของมนุษย์ได้อย่างชาญฉลาด

เหล่านี้จึงเป็นมรดกทางปัญญาอันล้ำค่าที่ยังคงมีความหมายและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี การทำความเข้าใจความหมายและบริบทของ "สุภาษิตไทย" ที่มี "น้ำ" เป็นแก่น ยังช่วยให้เราเห็นถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติและความสำคัญของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล ซึ่งเป็นหลักการที่ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกปัจจุบัน

สุภาษิตสอนใจเกี่ยวกับน้ำ “น้ำขึ้นให้รีบตัก” 

เป็นสุภาษิตที่มีความหมายว่า เมื่อมีโอกาส หรือเมื่อโอกาสมาถึง จงรีบทำ เวลาน้ำขึ้นให้รีบตัก ถ้าน้ำลงแล้วจะพลาดโอกาส นอกจากนั้นยังมีความหมายว่า ใช้ประโยชน์จากโอกาสที่มีมาให้ได้มากที่สุด หรือเมื่อมีโอกาสดี ควรรีบคว้าไว้

สุภาษิตสอนใจเกี่ยวกับน้ำ “น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา”

เป็นสุภาษิตที่มีความหมายว่า โอกาสของใครคนนั้นก็จะกระทำการได้เปรียบกว่าอีกฝ่าย แต่เมื่อถึงโอกาสของอีกฝ่าย ฝ่ายนั้นก็จะได้เปรียบบ้างเช่นกัน นิยามสั้น ๆ ว่าคือ “ทีใคร ทีมัน” 

ที่มาของสํานวนนี้ เปรียบถึงเมื่อมีน้ำท่วม มดก็จะจมน้ำและถูกปลากิน แต่หากน้ำแห้ง ปลาก็จะถูกมดกัดกินได้เช่นกัน ธรรมชาติกับมนุษย์ก็เช่นกัน

สุภาษิตสอนใจเกี่ยวกับน้ำ “น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง”

เป็นสุภาษิตที่มีความหมายว่า เป็นการพูดมาก แต่ได้เนื้อหาสาระน้อย ใช้ในการเปรียบเปรยกับคนที่พูดแล้วคนฟังไม่สามารถจับใจความสำคัญหรือเนื้อหาสาระอะไรได้ พูดวกไปวนมาจนไม่รู้ว่าส่วนใดเป็นใจความหลัก ใจความรอง แสดงได้ถึงความรู้ของผู้พูดว่าไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนั้นจริง ดังนั้นก่อนที่จะสื่อสารกับผู้ฟัง ควรเตรียมข้อมูลในเรื่องที่จะพูดให้กระชับ ตรงประเด็น

สุภาษิตสอนใจเกี่ยวกับน้ำ “มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ”

เป็นสุภาษิตที่มีความหมายว่า การที่บุคคลหนึ่งไม่ยอมช่วยงานส่วนรวม แต่ยังทำตัวเกะกะการดำเนินงานของส่วนรวมให้มีความลำบากมากขึ้นไปอีก ที่มาของสํานวนดังกล่าว คำว่า “รา” ในที่นี้ แปลว่า ทำให้น้อยลง อ่อนลง หมดไปอย่างช้า ๆ คว่า “มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” จึงเปรียบเปรยถึงผู้ที่ลงเรือลำเดียวกับคนอื่นแล้วไม่ยอมช่วยพายเรือ แต่ยังเอาขาจุ่มลงไปในน้ำ ยิ่งจะทำให้คนพายอื่น ๆ ต้องลำบากยิ่งขึ้น

สุภาษิตสอนใจเกี่ยวกับน้ำ “บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น”

เป็นสุภาษิตที่มีความหมายว่า การรู้จักผ่อนปรนเข้าหากัน ไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนใจขุ่นเคืองกัน เป็นการถนอมน้ำใจซึ่งกันและกัน ไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดความอึดอัด โดยการใช้ท่าทีละมุนละม่อม 

สำนวนนี้ใช้เตือนใจไม่ให้ยึดติดกับสิ่งใดจนเกินไป เปรียบเทียบกับการเก็บดอกบัวในน้ำ โดยปกติบัวจะมีเหง้าอยู่ใต้โคลนในน้ำ ดอกและใบเป็นส่วนที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ การจะเก็บดอกบัวเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนมาก ต้องดึงก้านดอกเพียงเบา ๆ ไม่ให้กระทบกระเทือนจนทำให้โคลนตมฟุ้งกระจาย

สุภาษิตสอนใจเกี่ยวกับน้ำ “น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า”

เป็นสุภาษิตที่มีความหมายว่า คนเราต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และได้ประโยชน์ร่วมกันในการอยู่ในสังคม เหมือนกับน้ำที่จะต้องพึ่งพาเรือ ในการที่จะช่วยให้สายน้ำมีการเคลื่อนไหว และมีประโยชน์ช่วยให้สายน้ำนั้นยังคงอยู่ ในคราวเดียวกัน ธรรมชาติของเสือนั้นเกิดในป่า เติบโตในป่า เสือจำเป็นต้องอาศัยป่าในการดำรงชีวิตและสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป

สุภาษิตสอนใจเกี่ยวกับน้ำ “น้ำนิ่งไหลลึก” 

เป็นสุภาษิตที่มีความหมายว่า คนที่ดูเงียบ ๆ เรียบร้อย นิ่งเฉย มักจะมีความคิดลึกซึ้ง ฉลาดหลักแหลม หรืออาจจะมีความคิดร้ายกาจมาก ๆ ที่มาของสำนวนนี้ เป็นการเปรียบเปรยถึงแม่น้ำที่บนผิวน้ำดูนิ่ง ๆ ไหลเอื่อย ๆ แต่ลึกลงไปของแม่น้ำนั้นมีน้ำที่ไหลแรง เปรียบเหมือนคนที่เงียบๆ หรือคนที่มีท่าทางเฉย ๆ ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็น แต่ภายในแล้วเป็นคนช่างคิด

สุภาษิตสอนใจเกี่ยวกับน้ำ “น้ำน้อยแพ้ไฟ”

เป็นสุภาษิตที่มีความหมายว่า คนที่มีกำลังน้อย หรือจำนวนคนที่น้อยกว่า ย่อมแพ้ฝ่ายที่มีคนมาก หรือกำลังมากกว่า ที่มาของสำนวนนี้ มาจากการเปรียบเทียบกับการที่จะต้องดับไฟที่กำลังลุกโชน หากนำเอาน้ำเพียงน้อยนิดไปดับ ก็ไม่สามารถที่จะดับไฟได้ เปรียบเสมือนกับคนที่มีกำลังและจำนวนน้อยกว่า ไม่อาจที่จะสู้รบกับคนที่มีจำนวนมากกว่าได้นั่นเอง

สุภาษิตสอนใจเกี่ยวกับน้ำ “ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา”

เป็นสุภาษิตที่มีความหมายว่า ให้รู้จักฐานะของตนและเจียมตัว เป็นคำสอนที่เตือนให้คนเรารู้จักเจียมตน ประมาณตน ไม่มักใหญ่ไฝ่สูงจนเกินไป สำนวนนี้มักถูกนำไปใช้เมื่อต้องการสื่อสารให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รู้ถึงที่มา ฐานะ และสภาพของตนเอง อย่าคิดจองหอง หรือใฝ่ฝันอะไรที่สูงเกินตัว

สุภาษิตสอนใจเกี่ยวกับน้ำ “น้ำลดตอผุด”

เป็นสุภาษิตที่มีความหมายว่า ในเวลาที่คนหมดอำนาจ ถ้าทำความชั่วไว้ ความชั่วนั้นก็จะปรากฏขึ้นมา เปรียบดังตอที่อยู่ในน้ำ เมื่อน้ำขึ้น จะมองไม่เห็นตอ เพราะน้ำท่วมมิด แต่เมื่อน้ำลดลง จะมองเห็นตอโผล่ขึ้นมา ความชั่วร้ายก็เปรียบเหมือนตอที่ยังไม่มีใครเห็น เพราะอำนาจที่เปรียบเหมือนน้ำท่วมปิดบังไว้ แต่ถึงคราวหมดอำนาจ ซึ่งเปรียบเหมือนคราวน้ำลง ความชั่วเหล่านั้นก็ปรากฎให้เห็นนั่นเอง

สุภาษิตสอนใจเกี่ยวกับน้ำ “กินน้ำใต้ศอก”

เป็นสุภาษิตที่มีความหมายว่า การจำยอมตกเป็นรอง ไม่สามารถเทียบเทียมได้เท่า เช่นหญิงที่ได้สามี แต่ต้องตกไปอยู่ในตำแหน่งเมียน้อย เรียกว่า “กินน้ำใต้ศอกเขา” ที่มาของสํานวนนี้ เปรียบเปรยถึงการที่คน ๆ หนึ่งเอาสองมือรองน้ำมากิน แต่อีกคนหนึ่งรอหิวไม่ไหว จึงเอาปากเข้าไปรองน้ำที่ไหลลงมาจากข้อศอก เพราะรอหิวไม่ทันใจ กินแต่น้อยก็ยอม

สุภาษิตสอนใจเกี่ยวกับน้ำ “น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก”

เป็นสุภาษิตที่มีความหมายว่า แม้จะไม่พอใจหรือโกรธฉุนเฉียวมาก จำต้องยิ้มแย้มแจ่มใสไว้ หรือการเก็บความไม่พอใจไว้ในใจ แสดงออกให้คนเห็นว่ายังเป็นมิตรกันอยู่ 

ที่มาของสํานวนนี้ เป็นการเปรียบเปรยน้ำขุ่นกับสิ่งที่เป็นลบ อาทิ ความโกรธ ความอิจฉา ส่วนน้ำใส เป็นสิ่งที่ดีงามที่เป็นด้านบวก น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก จึงเหมือนการเก็บความไม่พอใจไว้ในใจ แต่แสดงออกภายนอกด้วยท่าทีที่เป็นมิตร

สุภาษิตสอนใจเกี่ยวกับน้ำ “น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย”

น้ำร้อนปลาเป็นน้ำเย็นปลาตาย_0.jpg

เป็นสุภาษิตที่มีความหมายว่า คนที่ใช้คำพูดที่ตรงไปตรงมา ทำให้ไม่ถูกใจคนฟัง แต่จริงใจไม่มีพิษมีภัย ซึ่งอาจจะดีกว่าคำพูดที่ไพเราะอ่อนหวาน แต่มีความร้ายกาจซ่อนอยู่ 

ที่มาของสำนวนดังกล่าว เปรียบเหมือนปลาที่ว่ายไปตามแม่น้ำลำคลอง ไม่ยึดเอาที่หนึ่งที่ใดอาศัยอยู่ เท่ากับอยู่ใน “ที่ร้อน” ปลาพวกนี้มักอยู่รอดปลอดภัย โอกาสจะถูกคนจับเอาไปกิน ถึงจะมีก็มีน้อย

การเปรียบเปรยกับ "น้ำ" สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาอันลึกซึ้งของบรรพบุรุษในการใช้ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติมาเป็นเครื่องสอนใจในการดำเนินชีวิตและเข้าใจโลก สุภาษิตเหล่านี้ครอบคลุมหลากหลายแง่มุม ตั้งแต่การรู้จักใช้โอกาสที่เข้ามา การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในสังคม ไปจนถึงการตระหนักถึงสถานะของตนเองและการมีสติในการใช้ชีวิต การเปรียบเทียบกับลักษณะต่างๆ ของน้ำ เช่น การขึ้นลง การไหล ความนิ่ง ความขุ่นใส หรืออุปมาเกี่ยวกับจิตใจคนอย่างที่ท่านสุนทรภู่ได้กล่าวไว้ “แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน" ช่วยให้เข้าใจแนวคิดที่เป็นนามธรรมได้ง่ายยิ่งขึ้น และยังแสดงให้เห็นถึงความผูกพันอันยาวนานระหว่างวิถีชีวิตของคนไทยกับสายน้ำ ซึ่งเป็นทั้งแหล่งอาหาร การคมนาคม และส่วนสำคัญของวัฒนธรรมประเพณี การเรียนรู้ความหมายและคติสอนใจจึงไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์ภาษาไทย แต่ยังเป็นการสืบทอดภูมิปัญญาที่มีคุณค่าให้คงอยู่สืบไป และสามารถนำมาปรับใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันได้อย่างเหมาะสม

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

สุภาษิตไทยสำนวนสุภาษิตน้ำคำสอนสงกรานต์น้ำคำสอนชีวิต
สันทัด โพธิสา
ผู้เขียน: สันทัด โพธิสา

เจ้าหน้าที่เนื้อหาออนไลน์อาวุโส Thai PBS สนใจความเคลื่อนไหวของสังคม ผู้คน และเทรนด์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ และรวมถึงเป็นสมาชิกทาสแมวมายาวนาน

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด