น้ำปนเปื้อนแค่ไหน ถึงเสี่ยงมะเร็งกำลังกลายเป็นคำถามสำคัญ
ความเสี่ยงมะเร็งจากมลพิษถือเป็นภัยร้ายที่ส่งผลถึงคนหมู่มาก เพราะยากที่ใครจะควบคุมสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ จากกระแสข่าวแม่น้ำกกปนเปื้อน ชื่อของสารพิษอย่าง “สารหนู - ตะกั่ว”กำลังสร้างความกังวลให้กับใครหลายคน
Thai PBS ชวนมาเข้าใจน้ำปนเปื้อนแค่ไหนถึงเสี่ยงมะเร็ง ? เกินค่ามาตรฐานส่งผลอย่างไร ? แล้วเราสามารถป้องกันตัวอย่างอย่างไรได้บ้าง ?
เหตุใดการปนเปื้อนจึงทำให้เกิดความเสี่ยงมะเร็ง
มะเร็งคือการกลายพันธุ์ของเซลล์ที่ทำให้เกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้น และแพร่กระจายออกไป ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ การศึกษากลไกทางชีววิทยาในปัจจุบันพบว่า โรคมะเร็งทั้งหมดเกิดมาจากจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือการกกลายพันธุ์ในมนุษย์จนเกิดเป็นมะเร็งได้
ทั้งนี้ สาเหตุของมะเร็งส่วนใหญ่แล้วมาจากสิ่งแวดล้อม โดยมะเร็งที่เกิดจากพันธุกรรมนั้นมีเพียง 5 % เท่านั้น มะเร็งที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมมักจะมาจากการที่ร่างกายได้รับสารพิษหรือสารก่อมะเร็ง (carcinogens) เข้าไปสะสมในร่างกาย ซึ่งมีตั้งแต่การสูบบุหรี่ อาหารการกิน การใช้ชีวิต มลพิษทางอากาศรวมถึงฝุ่น PM2.5 ที่เราหายใจ งการสัมผัสสารเคมีต่าง ๆ ผ่านแหล่งน้ำในสิ่งแวดล้อม หรือบริโภคผ่านน้ำดื่ม
ผู้คนโดยทั่วไปเรามีโอกาสสัมผัสสารก่อมะเร็งกันอยู่แล้ว แต่มักจะสัมผัสสารก่อมะเร็งตามสิ่งแวดล้อมในระดับที่ค่อนข้างต่ำ แต่การสะสมในทุก ๆ วัน กลับทำให้สิ่งแวดล้อมกลายเป็นสาเหตุใหญ่ของมะเร็งที่ทุกคนต้องระวัง
น้ำปนเปื้อนแค่ไหน...เสี่ยงมะเร็ง ?
ข่าวสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตราย เรามักพบการตรวจสารพิษในพื้นที่และพบว่า “เกินค่ามาตรฐาน” อยู่บ่อยครั้ง แล้วสิ่งที่ตามมาคืออะไร ? เกินมาตรฐานทำให้เกิดมะเร็งได้หรือไม่ ? หรือแค่สกปรกเท่านั้น มีความอันตรายแค่ไหน หากอันตรายเหตุใดจึงยังไม่มีการปิดกันพื้นที่
มาตรฐานน้ำประปาตามประกาศกรมอนามัย 2563 เผยว่า คุณภาพน้ำดื่มต้องมีค่าสารหนู (Arsenic) ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร และตะกั่ว (Lead) ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร
แล้วสารปนเปื้อนสูงเกินมาตรฐานจะเกิดอันตรายอย่างไร ?
ศูนย์ข้อมูลเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (The National Center for Biotechnology Information) หน่วยงานด้านสุขภาพภายใต้กระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา เผยแพร่เอกสารรายงานสถานการณ์มะเร็งโลก (World Cancer Report) ที่มีการระบุถึงรายละเอียดของน้ำปนเปื้อน พบความเชื่อมโยงมากมายระหว่างน้ำที่ปนเปื้อนกับการเกิดมะเร็ง และความเสี่ยงส่วนใหญ่มาจากสารหนูในน้ำดื่ม
พบว่า สารหนูในน้ำดื่มเชื่อมโยงกับความเสี่ยงโรคมะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ กับประชากรในประเทศแถบ เช่น อาร์เจนตินา บังกลาเทศ ชิลีตอนเหนือ รวมถึงจีน ซึ่งมีปริมาณสารหนูตามธรรมชาติสูง
น้ำปนเปื้อน เสี่ยงมะเร็ง ป้องกันอย่างไร ?
หากต้องอยู่อาศัยในพื้นที่ที่น้ำมีการปนเปื้อน เช่น กรณีพบสารหนูเกินมาตรฐานน้ำบริโภค กรมอนามัยมีข้อแนะนำดังนี้
การใช้น้ำภายในบ้าน หากระดับสารหนูต่ำกว่า 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร การอาบน้ำและใช้น้ำในบ้าน เช่น รีดผ้า ซักผ้า ล้านจาน ยังคงปลอดภัย เนื่องจากสารหนูไม่ดูดซึมผ่านผิวหนัง งดการใช้น้ำปนเปื้อนรดต้นไม้ และงดอาบน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีรายการการปกเปื้อน
การดื่มน้ำ ควรดื่นน้ำจากแหล่งที่ปลอดภัย เช่น น้ำบรรจุขวด น้ำบาดาลที่ผ่านการรับรอง และน้ำจากเครื่องกรองน้ำ หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำ นำไปปรุงอาหาร โดยเฉพาะเด็กและหญิงมีครรภ์ เนื่องจากเด็กมีน้ำหนักตัวเล็ก จะยิ่งได้รับสารหนูปริมาณสูงกว่าผู้ใหญ่ หญิงมีครรภ์มีโอกาสพบสารหนูในนมแม่ที่สามารถผ่านทางรกไปยังลูกได้
การล้างผัก ไม่ใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติมาล้างผัก โดยล้างผักได้ 3 วิธี 1 ล้างด้วยน้ำไหล ให้แช่ผักในน้ำสะอาดนาน 15 นาที แล้วเปิดน้ำไหลผ่าน คลี่ใบผักถูไปมาประมาณ 2 นาที 2 แช่น้ำผสมน้ำส้มสายชู 5% โดยใช้น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร แช่ผักผลไม้นาน 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 3 แช่ในเบกกิ้งโซดา ใช้อัตราส่วนครึ่งช่องโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร แช่ไว้ 15 นาที แล้วล้างออก จะช่วยลดสารพิษตกค้างออกได้
หลีกเลี่ยงบริโภคสัตว์น้ำในแหล่งน้ำปนเปื้อน งดการตกปลา เลี้ยงปลา ในแหล่งน้ำปนเปื้อน เพราะสารหนูสามารถสะสมในเนื้อสัตว์น้ำและส่งผลต่อสุขภาพหากบริโภคต่อเนื่อง
การปนเปื้อนของสารพิษในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ป่วยเป็นมะเร็ง ถือเป็นการป่วยที่เกิดจากการสะสม และเกิดมะเร็งขึ้นได้ในระยะยาว แต่หากพบกรณีสารปนเปื้อนเป็นปริมาณมาก ร่างกายจะเกิดการตอบสนองอย่างรวดเร็ว เช่น ปวดหัว อ่อนเพลีย ปวดตามตัว หากพบอาการเหล่านี้ต้องระวังโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางให้เร่งพบแพทย์โดยด่วน
อ้างอิง
- กรมอนามัย
- World Cancer Report: Cancer research for cancer prevention
- สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย