กิจกรรมรณรงค์ “วันไข้เลือดออกอาเซียน 2568” (ASEAN Dengue Day 2025) ซึ่งจัดโดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 68 โดยภายในงานได้มีการบรรยายเกี่ยวกับสถานการณ์และประเด็นสำคัญของไข้เลือดออกในประเทศไทย โดย รศ.พญ.ณสิกาญจน์ อังคเศกวินัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ได้เน้นย้ำถึงความซับซ้อนของโรค การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต รวมถึงแนวทางการป้องกันและจัดการโรค
สถานการณ์ไข้เลือดออกในประเทศไทย
ปัจจุบัน "โรคไข้เลือดออก" สามารถพบได้ทั่วประเทศไทย ไม่จำกัดเฉพาะภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง ขณะที่ ภาคเหนือและภาคใต้ มีแนวโน้มพบผู้ป่วยจำนวนมาก โดยทุก 1 ชั่วโมง มีผู้ป่วยไข้เลือดออกประมาณ 4 คนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 2 คนต่อสัปดาห์ และเกือบ 80% ของผู้เสียชีวิตเป็นผู้ใหญ่


ลักษณะและพฤติกรรมของโรค
จากข้อมูลพบว่า 80% ของผู้ติดเชื้อไข้เลือดออก ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก และอยู่ในชุมชน โดยมีเพียง 20% เท่านั้น ที่มีอาการ
รศ.พญ.ณสิกาญจน์ กล่าวว่า การติดเชื้อไข้เลือดออกครั้งแรกไม่ได้รับประกันว่าจะไม่รุนแรง และการติดเชื้อซ้ำมีแนวโน้มรุนแรงกว่าครั้งแรก และคนไทยมีโอกาสติดเชื้อซ้ำสูงเนื่องจากในไทยมีการแพร่กระจายของทั้ง 4 สายพันธุ์ตลอดเวลา

ใครเสี่ยงติดเชื้อไข้เลือดออกและมีอาการรุนแรง
ประเทศไทยเป็นแหล่งระบาดของไข้เลือดออก ทุกคนสามารถได้รับเชื้อไข้เลือดออกจากการถูกยุงกัดได้ โดยไม่ขึ้นอยู่กับอายุ เพศ หรือเศรษฐานะ (การจัดกลุ่มครัวเรือนตามฐานะความเป็นอยู่ โดยพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น รายได้ ทรัพย์สิน การศึกษา อาชีพ และที่อยู่อาศัย)

กลุ่มแรก : ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ในอดีตไข้เลือดออกมักถูกมองว่าเป็นโรคของเด็ก แต่ปัจจุบัน 80% ของผู้เสียชีวิตเป็นผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่เสียชีวิตมักอยู่ในช่วงอายุ 40-45 ปีขึ้นไป และผู้สูงอายุมีแนวโน้มเสียชีวิตสูงกว่า
นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้สูงอายุ อาการของไข้เลือดออกมักไม่ชัดเจนเหมือนในกลุ่มอายุน้อย เช่น มักไม่ค่อยมีอาการปวดเนื้อตัว ปวดข้อ หรือปวดกระบอกตา อาจพบมีแต่ไข้และเม็ดเลือดขาวต่ำ ทำให้การวินิจฉัยล่าช้าออกไป และผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักเคยติดเชื้อมาแล้ว ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่ออาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อซ้ำ
กลุ่มสอง : ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น "โรคเบาหวาน" (เพิ่มความเสี่ยง 4 เท่า) เป็นโรคประจำตัวที่พบบ่อยในผู้ป่วยไข้เลือดออก ผู้ป่วยเบาหวานที่มีน้ำตาลสูงมักมีภูมิคุ้มกันไม่ดี ทำให้ควบคุมไวรัสได้ยาก นอกจากนี้ การกินอาหารน้อยลงเนื่องจากไข้เลือดออกอาจทำให้น้ำตาลต่ำได้ และยาเบาหวานบางชนิด อาจส่งผลต่อตับอักเสบและคลื่นไส้
"โรคไต" (เพิ่มความเสี่ยง 4 เท่า), "โรคหัวใจ" (เพิ่มความเสี่ยง 3 เท่า) และ "โรคความดันโลหิตสูง" (เพิ่มความเสี่ยง 2 เท่า) มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิต ยิ่งมีโรคประจำตัวหลายโรคยิ่งเพิ่มความเสี่ยง


แนวทางการป้องกันและจัดการโรคไข้เลือดออก
องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดเป้าหมายลดอัตราป่วย 25% และไม่มีผู้เสียชีวิตจากไข้เลือดออก (Zero Death) ภายในปี 2573 ขณะที่ ประเทศไทย ตั้งเป้าลดอัตราป่วยให้เหลือต่ำกว่า 60,000 คน และลดอัตราป่วยตายให้เหลือ 0% จาก 0.1% ในปัจจุบัน ภายในปี 2569
มาตรการป้องกัน
1. การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดอัตราการติดเชื้อ
2. การรับวัคซีน โดยวัคซีนที่มีในปัจจุบัน มี 2 ชนิดในไทย จะช่วยป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการได้ 65-80% และลดโอกาสการนอนโรงพยาบาลได้ 80-90%
องค์การอนามัยโลกและประเทศไทย แนะนำให้ฉีดวัคซีนควบคู่กับมาตรการอื่น ๆ โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงสูงและมีโรคประจำตัว อย่างไรก็ตาม ควรฉีดวัคซีนหลังจากหายจากไข้เลือดออกแล้วเกิน 6 เดือน
3. การวินิจฉัยและการรักษาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงและช่วงที่มีการระบาด หากพบอาการไข้โดยไม่มีอาการทางเดินหายใจ เช่น ปวดหัว ปวดเมื่อย มีผื่น ควรสงสัยไข้เลือดออก
ปัจจุบันมีชุดตรวจโรคไข้เลือดออก "NS1 Antigen" ซึ่งมีประโยชน์ในการวินิจฉัยเบื้องต้น แต่ความไวประมาณ 60-70% หากผลเป็นลบแต่อาการเข้าข่าย ควรส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจเพิ่มเติม ส่วนการรักษาในโรงพยาบาล ไม่สามารถรับผู้ป่วยไข้เลือดออกทุกคนไว้ในโรงพยาบาลได้ทันที ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยกลับไปดูแลที่บ้านและสังเกตอาการ โดยเฉพาะอาการผิดปกติ เช่น อาเจียนมาก กินไม่ได้ เหนื่อย เลือดออก

4. คำแนะนำในการดูแลตนเอง
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- กินยาพาราเซตามอลเท่าที่จำเป็น (ไม่แนะนำกินทุก 4 ชั่วโมง เพราะอาจทำให้ตับอักเสบ) และเช็ดตัวเพื่อลดไข้
- ควรหลีกเลี่ยงยาลดไข้ที่มีส่วนผสมของ Acetylsalicylic acid หรือยา Aspirin ยา NSAIDs และยาสเตียรอยด์เพราะอาจทำให้เลือดออกง่าย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
- กินอาหารที่ย่อยง่าย ดื่ม ORS (Oral Rehydration Salts) น้ำเกลือแร่ที่ช่วยชดเชยการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
รศ.พญ.ณสิกาญจน์ กล่าวว่า การลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด เนื่องจากผู้เสียชีวิตมักเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งมักมาถึงโรงพยาบาลเมื่ออาการหนักแล้ว นอกจากนี้ บางส่วนของผู้ป่วยที่หายแล้วอาจไม่ได้รับการฉีดวัคซีนในระยะเวลาที่เหมาะสม
อีกเรื่องที่ต้องกังวล คือ ในช่วงที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก โรงพยาบาลอาจประสบปัญหาทรัพยากรไม่เพียงพอในการรับมือกับผู้ป่วยจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่หน่วยงานต้องบริหารจัดการต่อไป
"ไข้เลือดออกไม่ใช่แค่โรคของเด็กอีกต่อไป ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิต ซึ่งการป้องกันที่ดีที่สุดคือการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย การฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยง และการวินิจฉัยและดูแลรักษาที่รวดเร็ว เหมาะสม จะช่วยลดการเสียชีวิตได้" รศ.พญ.ณสิกาญจน์ กล่าวทิ้งท้าย
ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ หรือ CDC เคยย้ำถึงเรื่องนี้ไว้ว่า "ไม่ควรมีใครต้องเสียชีวิต จากโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน"

อ่านเรื่อง “ไข้เลือดออก” เพิ่มเติม
• “ยุง” ยุคโลกเดือด แพร่พันธุ์เร็วขึ้น กัดดุขึ้น
• โรคไข้เลือดออก ภัยอันตรายฤดูฝน
• โลกเดือด “ยุงลาย” กัดดุ - แพร่พันธุ์เร็ว
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech