วันนี้ วันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 2025 ย้อนหลังไปเมื่อ 21 ปีก่อน (วันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 2004) โทมัส โกลด์ (Thomas Gold) นักวิทยาศาสตร์สำคัญคนหนึ่งของโลก ผู้ได้ชื่อเป็น “The Maverick Scientist” ที่ผู้เขียนขอเรียกเป็น “นักวิทยาศาสตร์ยอดนักเลงมาเวอริค” ได้จากโลกไป พร้อมกับความเชื่อมั่นอย่างเหมาะสมกับสมญา “มาเวอริค” ของเขาว่า “ทฤษฎีจักรวาลสภาวะคงที่” ที่เขาได้ร่วมเสนอ และ “ทฤษฎีน้ำมันมิได้กำเนิดจากฟอสซิลสิ่งมีชีวิต” ที่มาจากสมองความคิดของเขาคนเดียว ซึ่งวงการวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปเห็นว่า “ตายแล้ว” นั้น “ยังไม่ตาย !”
“วิทยาศาสตร์ ทันโลก ทันชีวิต” วันนี้ ขอนำท่านผู้อ่านไปร่วมรำลึกถึงการจากไปของ โทมัส โกลด์ ไปรู้จักกับเรื่องราวบางส่วนชีวิตและงานของเขา ไปดูบทบาทของเขากับทฤษฎีกำเนิดจักรวาลแบบสภาวะคงที่ และทฤษฎีที่ไม่เป็นที่รู้จักกันนัก คือ กำเนิดของน้ำมันมิได้มาจากฟอสซิลสิ่งมีชีวิต และไปดูที่มาสมญา “นักวิทยาศาสตร์มาเวอริค” ว่า เป็นอย่างไรและคนอย่างเขาเป็นที่ต้องการของวิทยาศาสตร์โลกหรือไม่ ? แค่ไหน ?
จากออสเตรีย สู่เยอรมนี และ “ค่ายอินเทิร์น” อังกฤษ
โทมัส โกลด์ เป็นชาวออสเตรีย เกิดที่กรุงเวียนนา วันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1920 ต่อมา ย้ายไปอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี แต่เมื่อ อคอล์ฟ ฮิตเลอร์ ขึ้นมามีอำนาจ โกลด์และครอบครัวก็ย้ายหนีไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ เพราะคุณพ่อของโกลด์เป็นยิว แล้วในปี ค.ศ. 1938 เยอรมนีบุกออสเตรีย โกลด์และครอบครัวก็เดินทางไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ
ที่อังกฤษ ทุกอย่างก็ดูจะดำเนินไปอย่างเป็นปรกติ สำหรับโกลด์ เขาได้เข้าศึกษาวิทยาศาสตร์เครื่องกลที่ทรินิตีคอลเลจ, เคมบริดจ์...
แต่แล้ว เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองระเบิดขึ้นในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 จากการบุกโปแลนด์ของกองทัพเยอรมัน ทุกอย่างก็เริ่มไม่เป็นปรกติ
เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 โกลด์ถูกส่งไปเข้า “ค่ายอินเทิร์น” (Intern Camp) ในฐานะเป็น “enemy alien” ซึ่งผู้เขียนขอแปลเป็น “ศัตรูจากต่างด้าว” เพราะโกลด์มาจากเยอรมนี เป็นเวลาเกือบ 15 เดือน ส่วนใหญ่อยู่ในค่ายอินเทิร์นของอังกฤษที่ แคนาดา
ถึงแม้การเข้าค่ายอินเทิร์นของอังกฤษ แตกต่างอย่างมากจาก “ค่ายกักกัน” ของนาซี เพราะของอังกฤษ ไม่มีการถูกอัดอยู่รวมกันอย่างแออัด หรือการถูกทารุณกรรม แต่สำหรับโกลด์ ก็เป็นประสบการณ์ที่เขาก็ไม่เข้าใจ และ “บ่น” กับเพื่อนสนิทในภายหลัง : “ผมไม่เข้าใจว่า จับผมไปเข้าค่ายอินเทิร์นทำไม ในเมื่อผมก็หนีออกมาจากเยอรมนี”
แต่ในคืนแรกของการเข้าค่ายอินเทิร์นที่อังกฤษ โกลด์ก็ได้พบกับ เฮอร์แมนน์ บอนได (Hermann Bondi) คนร่วมเชื้อสายออสเตรีย วัยใกล้เคียงกัน (บอนไดอายุมากกว่าโกลด์ 1 ปี) ซึ่งกลายเป็นทั้งเพื่อนสนิทและผู้ร่วมเสนอทฤษฎีกำเนิดจักรวาลแบบสภาวะคงที่

“โกลด์” “ฮอยล์” และ “บอนได” กับ “จักรวาลสภาวะคงที่”
หลังกลับจากค่ายอินเทิร์น โกลด์เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ จบปริญญาตรีฟิสิกส์ ปี ค.ศ. 1942
โกลด์ ไม่ได้ศึกษาจนกระทั่งจบปริญญาเอกฟิสิกส์ แต่ได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ปี ค.ศ. 1969
เฟรด ฮอยล์ (Fred Hoyle) เป็นชาวอังกฤษ
จุดเริ่มต้นทีม 3 นักดาราศาสตร์ผู้ร่วมเสนอทฤษฎีจักรวาลสภาวะคงที่ คือ เฟรด ฮอยล์ ในปี ค.ศ. 1940 เมื่อ ฮอยล์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการแผนกเรดาร์ของกองทัพเรืออังกฤษ
เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1942 ฮอยล์เชิญให้ เฮอร์แมนน์ บอนได เข้าร่วมทีมงานการพัฒนาเรดาร์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
แล้วบอนไดก็ได้เสนอให้ฮอยล์ เชิญ โกลด์ เข้าร่วมทีมงานเรดาร์ด้วย ซึ่งโกลด์ก็ได้เข้าร่วมทีมในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1942 นั้น
ฮอยล์ , โกลด์ และบอนได กลายเป็นทีมงานที่สนิทกันมาก ในเวลากลางวันก็ทำงานการพัฒนาและใช้เรดาร์ในยามสงคราม นอกเวลาทำงานก็รวมหัวคุยกันเรื่องดาราศาสตร์


หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้ง 3 คน ก็กลับสู่งานวิชาการที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ที่เคมบริดจ์ ฮอยล์ , โกลด์ และบอนได คุยกันต่อเรื่องจักรวาล จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1948 ก็ร่วมกันเสนอทฤษฎีจักรวาลสภาวะคงที่ โดยแยกตีพิมพ์ในวารสาร Monthly Notices of the Royal Astronomical Society 2 ฉบับ
ฉบับหนึ่ง เขียนโดย โกลด์และบอนได ชื่อเรื่อง The Steady-State Theory of the Expanding Universe” ลงตีพิมพ์เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1948
อีกฉบับหนึ่ง เขียนโดย ฮอยล์ ชื่อเรื่อง “A New Model for the Expanding Universe” ลงตีพิมพ์เดือนตุลาคม ค.ศ. 1948
รายงาน 2 ฉบับนี้ รวมเป็นรายงานวางหลักการสำคัญทฤษฎีจักรวาลสภาวะคงที่ของฮอยล์ , โกลด์ และบอนได ที่รู้จักและกล่าวถึงกันในวงการวิทยาศาสตร์ถึงทุกวันนี้
แต่จริง ๆ แล้ว มีเรื่องราวย้อนหลังไปไกลถึงทฤษฎีจักรวาลสภาวะคงที่ ก่อนของฮอยล์ , โกลด์ และบอนได และก่อนทฤษฎีกำเนิดจักรวาลแบบบิกแบง ซึ่งเกี่ยวข้องกับบทบาทที่ค่อนข้างสับสนของไอน์สไตน์ ในเรื่องกำเนิดของจักรวาลด้วย
สำหรับวันนี้ ผู้เขียนขอนำเรื่องราวน่าสนใจเหล่านี้ มาเล่าสู่ท่านผู้อ่านอย่างเร็วๆ โดยเน้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของโกลด์

“ทฤษฎีสภาวะคงที่” VS. “ทฤษฎีบิกแบง”
สาระเนื้อหาสำคัญของทฤษฎีกำเนิดจักรวาลแบบสภาวะคงที่ของ ฮอยล์ , โกลด์ และบอนได คือ
“จักรวาลมีสภาวะโดยรวมคงที่ ไม่ว่าจะมองหรือจับตาดูส่วนไหนของจักรวาล และเมื่อไร จักรวาลก็จะประกอบด้วยสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุภาค กระจายกันอยู่อย่างสม่ำเสมอในทุกตำแหน่งแห่งที่ และสำคัญที่สุด จักรวาลไม่มีกำเนิดและวาระสุดท้าย”
อย่างน่าสนใจ เมื่อกล่าวถึงทฤษฏีสภาพและกำเนิดของจักรวาล โดยทั่วไป ทฤษฎีจักรวาลสภาวะคงที่ของฮอยล์ , โกลด์ และบอนได ก็มักจะโดดเด่นขึ้นมาเสมือนเป็นทฤษฎีแรก
แต่ในประวัติพัฒนาการของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ จริงๆ แล้ว นักวิทยาศาสตร์ผู้เสนอทฤษฎีจักรวาลแบบสภาวะคงที่คนแรก มิใช่ ฮอยล์ , โกลด์ และบอนได หากเป็นวิลเลียม ดันแคน แม็กมิลแลน (William Duncan MacMillan : ค.ศ. 1871-1948) นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันแห่งมหาวิยาลัยชิคาโก ในรายงาน 2 ฉบับ ตีพิมพ์ ปีค.ศ. 1918 และ 1925 และกล่าวถึงที่มาของอะตอมต่างๆ ว่า เกิดจากภายในดวงดาว และจากการเปลี่ยนแปลงของพลังงานในอวกาศเป็นอะตอม แต่ไม่อธิบายกลไกที่เกิดขึ้น
เท่าที่ทราบกัน ทฤษฎีจักรวาลสภาวะคงที่ของแม็กมิลแลน จึงเป็นทฤษฎีวิทยาศาสตร์แรกที่อธิบายถึงสภาพและกำเนิดของสรรพสิ่งในจักรวาล และก็เป็นที่ยอมรับกันมากในวงการวิทยาศาสตร์ แม้แต่ไอน์สไตน์เอง ผู้ตั้งทฤษฎี สัมพัทธภาพภาคทั่วไปขึ้นมาในปีค.ศ. 1915 ซึ่งกลายเป็นทฤษฎีหลักของจักรวาลแบบบิกแบง ก็กล่าวถึงและยึดตามทฤษฎีสภาวะคงที่ของแม็กมิลแลน
จนกระทั่งเมื่อ เอ็ดวิน ฮับเบิล (Edwin Hubble) ได้ส่องกล้องโทรทรรศน์พบในปี ค.ศ. 1929 ว่า จักรวาลกำลังขยายตัว ทฤษฎีสภาวะคงที่ของแม็กมิลแลน จึงได้รับความสนใจน้อยลง และไอน์สไตน์เอง ในที่สุด ก็จึงยอมรับว่า จักรวาลกำลังขยายตัว ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพภาคทั่วไปของตนเอง โดยไม่ต้องมี “ค่านิจจักรวาล” (cosmological constant)
สำหรับ ฮอยล์ , โกลด์ และบอนได ดูจะไม่ทราบเรื่องทฤษฎีสภาวะคงที่ของแม็กมิลแลน และได้ตั้งทฤษฎีสภาวะคงที่ขึ้นมาเมื่อปีค.ศ. 1948
จุดแข็งของทฤษฏีสภาะคงที่ของฮอยล์ , โกลด์ และบอนได ซึ่งโดยทั่วไปก็คล้ายกับของแม็กมิลแลนแต่ของทีม 3 คน ได้ให้คำอธิบายถึงที่มาของบรรดาอะตอมต่างๆ จากภายในดวงดาวด้วยปฏิกิริยานิวเคลียร์ ที่ไม่มีคำอธิบายในทฤษฎีของแม็กมิลแลน...
โดยในส่วนการขยายตัวของจักรวาล ทฤษฎีของทีม 3 คน ก็อธิบายว่า เกิดจากการ “สร้าง” หรือ “เกิดขึ้น” ของอนุภาคในอวกาศ แทรกขึ้นมาระหว่างอนุภาคหรืออะตอมต่างๆ ทำให้อวกาศขยายพื้นที่ มีผลให้เกิดเป็นการขยายตัวของจักรวาล

ระหว่างช่วงเวลาทศวรรษปี ค.ศ. 1940-1960 ทฤษฎีกำเนิดจักรวาลแบบสภาวะคงที่ของฮอยล์ , โกลด์ และบอนได กับทฤษฎีกำเนิดจักรวาลแบบบิกแบง นับเป็นทฤษฎีคู่แข่งขันที่ก้ำกึ่งกัน
จุดเปลี่ยนใหญ่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1964 เมื่อมีการค้นพบรังสีไมโครเวฟฉากหลัง (Microwave Background Radiation : MBR) ที่เป็นหลักฐานสนับสนุนทฤษฎีบิกแบงว่า เป็นพลังงานที่ยังหลงเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน เปรียบเสมือนกับ “เสียงระเบิดของบิกแบง” ในอดีตเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นสามพันแปดร้อยล้านปีก่อน...
ในขณะที่ทฤษฎีสภาวะคงที่ ไม่มีคำอธิบายที่หนักแน่นในเชิงวิทยาศาสตร์...
ทฤษฎีกำเนิดจักรวาลแบบสภาวะคงที่ ก็จึงได้รับการยอมรับน้อยลง
แม้แต่เมื่อฮอยล์ได้พยายามกู้สถานการณ์ของทฤษฎีสภาวะคงที่ โดยการเสนอในปี ค.ศ. 1993 ทฤษฎี Quasi-Steady-State Cosmology (QSS : จักรวาลกึ่งสภาวะคงที่) เพื่อแก้ปัญหาของสภาพจักรวาลที่ทฤษฎีสภาวะคงที่อธิบายไม่ได้ หรือไม่ดีพอว่า มีการเกิด “minibang” หรือ “little bang” เป็นจุดๆ บางแห่งในจักรวาล เพื่อเติมเต็มส่วนที่ขยายตัวของจักรวาล
สำหรับวงการวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ หลังการค้นพบรังสีไมโครเวฟฉากหลัง ก็ “หันหลัง” ให้ทฤษฎีสภาวะคงที่ งานการศึกษาวิจัยส่วนใหญ่ทางดาราศาสตร์ถึงปัจจุบัน ก็จะใช้ทฤษฎีกำเนิดจักรวาลแบบบิกแบงเป็นหลัก

โทมัส โกลด์ กับทฤษฎี “กำเนิดน้ำมันแบบอชีวภาพ”
โทมัส โกลด์ ย้ายจากอังกฤษ ไปอยู่สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1956 เริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดประมาณ 3 ปี แล้วก็ไปปักหลักอยู่ที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ จนกระทั่งเกษียณอายุการทำงานอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1986 แต่ไม่เคยหยุดทำงานวิทยาศาสตร์เลยตลอดชีวิต
โกลด์สร้างผลงานสำคัญด้านวิทยาศาสตร์มากมาย ตั้งแต่อยู่ที่อังกฤษและต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านดาราศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยคอร์แนลล์ และการสำรวจอวกาศ ดังเช่น โครงการอะพอลโลของนาซา
แต่งานที่โกลด์ทุ่มเทให้มากเป็นพิเศษ ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก พอๆ กับเรื่องกำเนิดจักรวาล คือ ความคิดว่า กำเนิดของน้ำมันบนโลก มิได้มาจากฟอสซิลสิ่งมีชีวิต ดังที่ยึดถือกัน
ตามทฤษฎีความคิดของโกลด์ ที่มักเรียกกันเป็น “Abiogenic Origin of Petroleum” หรือ “Abiogenic Origin of Oil” แปลพากย์ไทยตรง ๆ เป็น “กำเนิดปิโตรเลียมแบบอชีวภาพ” หรือ “กำเนิดน้ำมันแบบอชีวภาพ” บรรดาน้ำมันดิบปิโตรเลียมหรือน้ำมัน รวมไปถึงแก๊สธรรมชาติและถ่านหินด้วย มีกำเนิดมาจากสารประกอบไฮโดรคาร์บอนแบบอนินทรีย์ คือ เกิดจากอะตอมของธาตุที่เป็นสารเริ่มต้นกำเนิดของโลก แล้วผ่านกระบวนการถูกบีบอัด จนกระทั่งกลายเป็นปิโตรเลียม อยู่ในเปลือกโลกชั้นใน คือ แมนเทิล (mantle) อยู่ระหว่างเปลือกโลกชั้นนอกกับแก่นโลก มีความหนา 2,885 กิโลเมตร...
แล้วน้ำมันดิบไฮโดรคาร์บอนบางส่วนก็ไหลซึมหรือทะลักขึ้นมาตามรอยแยก จนกระทั่งมาอยู่ในบริเวณพื้นที่ใต้ดิน ที่เป็นแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ
เมื่อเกิดวิกฤตน้ำมันขาดแคลนทั่วโลกในทศวรรษปี ค.ศ. 1970 ที่ทำให้ทั่วโลกหันมาสนใจพลังงานแสงอาทิตย์ โกลด์ก็บอกกับชาวโลกว่า ยังมีน้ำมันอีกมากมายเป็นหลายร้อยเท่าของที่พบและที่คาดว่าจะมี อยู่ลึกใต้ผิวโลก

ในช่วงปี ค.ศ. 1986-1991 มีการทดลองขุดเจาะน้ำมันในสวีเดนจำนวน 2 หลุม ลงไปได้ลึกที่สุด 6.8 กิโลเมตร ตามแนวคิดของโกลด์
ผลการขุด พบน้ำมันจริง แต่ไม่มากพอที่จะมีค่าเชิงธุรกิจ ทว่า สำหรับโกลด์ ก็เป็นหลักฐานพิสูจน์ให้เห็นว่า ใต้พื้นผิวโลกลึกลงไปมีน้ำมันจริง
หลังการทดลองขุดเจาะหาน้ำมันในสวีเดน แล้วสถานการณ์เกี่ยวกับทฤษฎี “กำเนิดน้ำมันแบบอชีวภาพ” ของโกลด์ เป็นอย่างไร ?
โดยภาพรวม วงการวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับกำเนิดที่มาของน้ำมันบนโลกส่วนใหญ่ ก็ยังยึดตามความเชื่อเดิมว่า น้ำมันเกิดจากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตในอดีต แต่ทฤษฎีตามแนวคิดของโกลด์ ก็ยังไม่ตาย...
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน “หัวใจ” ของ โกลด์ จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิต
โทมัส โกลด์ นักวิทยาศาสตร์ยอดนักเลงมาเวอริค
นักดวิทยาศาสตร์หลายคน มีสมญาเป็นที่รู้จักกันดี ดังเช่น ริชาร์ด ไฟน์แมน (Richard Feynman) ผู้มีสมญาเป็นนักฟิสิกส์อารมณ์ดี ผู้ชอบตีกลองบองโก
โทมัส โกลด์ ก็เป็นนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่มีสมญา แต่พิเศษกว่าคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ที่เป็น “คนเดียว แต่มีหลายสมญา” เช่น นักวิทยาศาสตร์คนขวางโลก , นักวิทยาศาสตร์นักขัดแย้งโลก ที่หนักๆ คือ นักวิทยาศาสตร์นอกรีต แต่ที่รู้จักกันมากที่สุด คือ The Maverick Scientist ที่ผู้เขียนขอเรียกเป็น “นักวิทยาศาสตร์ยอดนักเลงมาเวอริค”
คำ “Maverick” มีความหมายในพจนานุกรมเป็นลูกวัวหรือวัวที่ไม่ถูกตีตรา จึงเป็นเหมือนวัวนอกคอก สำหรับคน Maverick มีความหมายถึง คนหัวแข็ง , คนไม่ยอมคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ยอมก้มหัวให้กับ “ใคร” หรือ “อะไร” ที่ตนคิดว่า “ไม่ใช่” หรือ “ไม่ถูก” ซึ่งก็จะตรงกับบุคลิกนิสัยของ พีท “มาเวอริค” มิตเชลล์ ในภาพยนตร์ Top Gun : Maverick (ค.ศ. 2022) รับบทโดย ทอม ครูซ
ส่วนการที่ผู้เขียนยกให้โกลด์ เป็น “ยอดนักเลง” ก็เพราะผู้เขียนนึกถึง “มาเวอริค” เคาบอยนักเลงโป๊กเกอร์ ในภาพยนตร์โทรทัศน์ชุด “Maverick” (ปี ค.ศ. 1957-1962) มี เจมส์ การ์ดเนอร์ รับบทเป็น “เบรต มาเวอริค” ผู้ไม่โกงใคร แต่ก็ไม่ยอมให้ใครโกง นับเป็น “ยอดนักเลง” ตัวจริง
ในการให้สัมภาษณ์เมื่อถูกถามว่า “คุณรู้ตัวใช่ไหมว่า มีคนไม่ชอบคุณหลายคน เพราะคุณไม่ยอม “ลง” ให้กับ ใคร ?”

โทมัส โกลด์ ตอบว่า “ผมก็รู้ และผมก็ไม่ชอบตัวเองเรื่องนี้นัก แต่ผมก็ “ยอมไม่ได้” จริง ๆ! ”
ซึ่ง โทมัส โกลด์ ก็เป็นคนดังที่เขาให้สัมภาษณ์จริงๆ แม้แต่กับนาซา ที่หลังโครงการอะพอลโล โกลด์ ไม่เห็นด้วยกับ โครงการยานขนส่งอวกาศ (Space shuttle) และก็ส่งเสียงคัดค้านอย่างดัง แม้แต่เมื่อถูกนาซาขู่ จะตัดงบประมาณโครงการวิทยาศาสตร์ที่เขาทำกับนาซา...
โกลด์ก็ไม่หยุด และนาซาก็ตัดงบของโกลด์จริง ๆ !
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 เรื่องใหญ่ของโกลด์ คือ เรื่องน้ำมันมิได้มาจากฟอสซิลสิ่งมีชีวิตและทฤษฎีสภาวะคงที่ของจักรวาล
สำหรับเรื่องน้ำมัน โกลด์ ก็ยังยืนยันจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิตว่า “มีน้ำมันอีกมากมายอยู่ใต้โลก !”
ส่วนเรื่องทฤษฎีสภาวะคงที่ของจักรวาล โกลด์ ก็ยังบ่นให้เพื่อนสนิทฟัง แต่ได้ยินกันทั่วโลกว่า “ถ้าสภาวะคงที่ของจักรวาลแปลก ก็ไม่เห็นจะแปลกกว่าบิกแบงตรงไหน !”
แล้วนักวิทยาศาสตร์แบบโทมัส โกลด์ เป็นที่ต้องการของวิทยาศาสตร์หรือไม่ ?
ผู้เขียนตอบอย่างมั่นใจได้ว่า “ต้องการ !”
เพราะวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าได้ ก็ต้องอาศัยนักวิทยาศาสตร์อย่าง โทมัส โกลด์ ด้วย ที่กล้า “คิดต่าง...คิดใหม่...และยืนหยัด !”
แล้วท่านผู้อ่านล่ะครับ คิดอย่างไร ?
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech