ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ครูแบก “งาน” รากของปัญหามาจากไหน ?


Insight

อธิเจต มงคลโสฬศ

แชร์

ครูแบก “งาน” รากของปัญหามาจากไหน ?

https://www.thaipbs.or.th/now/content/2828

ครูแบก “งาน” รากของปัญหามาจากไหน ?

 

ปัญหาครูกับภาระงานมีมาอย่างยาวนาน จนเกิดผลให้ครูหลายคนต้องลาออกจากอาชีพ กรณีล่าสุดร้ายแรงจนเกิดโศกนาฏกรรมถึงชีวิตของ “ครูมัท” ชวนให้สังคมตั้งคำถามถึงสิ่งที่เกิด

Thai PBS พาไปสำรวจเบื้องหลัง “ครูต้องแบกงาน” มากมายนอกจากงานสอนอะไรบ้าง ? เกิดอะไรขึ้นกับครูไทย ? สถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร ? รากของปัญหาอยู่ตรงไหน ? ครูที่ต้องแบกงานมากมายไว้แล้วใครจะช่วยแบ่งเบางานของครูได้ ?

งานมากกว่า “การสอน”

ปัญหาการทำ “งานอื่น” มากกว่า “งานสอน” ถือเป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน มีการศึกษามากมายที่บอกเล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และยังคงอยู่ ทำให้ในแต่ละวันครูมีภาระงานอื่น ๆ ที่เข้ามาเบียดบังการสอน และก่อให้เกิดความเครียดที่ดูจะหนักเกินกว่าที่จะรับไหว

เริ่มตั้งแต่การศึกษาในปี 2557 พบว่าครูกลุ่มตัวอย่างใช้เวลากับกิจกรรมนอกห้องเรียนมากถึง 84 วันจาก 200 วัน ครูใช้เวลาไปกับการประเมิน 43 วันแบ่งเป็นการประเมินผลงานและคุณภาพราว 31 วัน เช่น การประเมินคุณภาพสถานศึกษาภายนอก (9 วัน) การประเมินเลื่อนวิทยฐานะ (2 วัน) และการประเมินที่มาพร้อมกับโครงการจากกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่น ๆ อีก 12 วัน รองลงมาคือการแข่งขันวิชาการ 29 วัน การฝึกอบรมอีก 10 วันและกิจกรรมอื่น ๆ อีก 2 วัน

ขณะที่การสำรวจในปี 2562 ลงลึกไปในรายละเอียดพบว่า ครูร้อยละ 95 ทำงานนานกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน และมีถึงร้อยละ 58 ใช้เวลาไปกับงานอื่นที่ไม่ใช่การสอนมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์หรือประมาณเวลาทำงาน 1 วันต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ยังปรากฏข้อมูลโรงเรียนกว่าร้อยละ 41 ต้องทำโครงการมากกว่า 10 โครงการซึ่งมีความซ้ำซ้อนกัน ขณะที่ครูจำนวนมากต้องรับผิดชอบงานธุรการ เช่น งานจัดซื้อจัดจ้าง งานบัญชี งานพัสดุ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะทางที่ไม่ได้อยู่ในความถนัดของครู และยังเป็นงานที่หากเกิดความผิดพลาดแล้วส่งผลกระทบร้ายแรงทำให้เกิดความเครียดได้สูงอีกด้วย

ภาระงานครูมีอะไรบ้าง ?

ภาระงานครู ที่ปรากฏในเอกสารราชการว่า “ภาระงาน” มีความหมายถึง จำนวนชั่วโมงสอนตามตารางสอน ภาระงานที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดการเรียนการสอน และภาระงานการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา โดยมีรายละเอียดแบ่งกว้าง ๆ 4 ประเภท ได้แก่

1. งานการสอนทั่วไป เป็นการสอนตามรายวิชาปกติ
2. งานส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ เป็นงานประเมินการเรียนรู้ของเด็ก รวมถึงการวางแผนการสอนต่าง ๆ
3. งานพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา งานในลักษณะอื่น ๆ ที่นอกจากงานสอน เช่น งานธุรการ งานประชาสัมพันธ์ งานพัสดุต่าง ๆ
4. งานสอบสนองนโยบายและจุดเน้น งานโครงการต่าง ๆ ที่ตอบสนองกับงานจากส่วนกลาง หรืองานนอกอื่น ๆ

ที่ผ่านมามีความพยายามลดภาระงานครู ทั้งการปรับรูปแบบการประเมินจนถึงการยกเลิกบางงาน แต่ในทางปฏิบัติอาจไม่เป็นเช่นนั้น เอกสารของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เรื่อง ภาระงานของข้าราชการครูและบุคคลกรทางการศึกษา เมื่อปี 2564 ที่ยังมีผลอยู่ มีการระบุถึง งานพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ซึ่งยังคงระบุถึงงานบุคคล งานงบประมาณ และงานบริหารทั่วไป ขณะที่ งานสอบสนองนโยบายและจุดเน้น ยังคงระบุไว้กว้าง ๆ ว่าเป็นงานที่ตอบสนองนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงศึกษาอยู่

สิ่งที่เกิดขึ้นจึงยังคงมีภาระ “งานอื่น” ที่เข้ามาโดยเฉพาะในกลุ่มโรงเรียนขนาดเล็ก เอกสารราชการในหัวข้อ การกำหนดชั่วโมงปฏิบัติงานตามภาระงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ยังคงมีการกำหนดการทำงานในส่วนของงานพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซึ่งมีงานการเงินเช่น การบริหารงบประมาณ การเงินการบัญชีและการจัดการพัสดุรวมอยู่ด้วย

แล้วงานเหล่านี้ทำให้เกิดปัญหาอย่างไรบ้าง ? ต่อไปนี้เป็นกรณีตัวอย่างของบางภาระงานของครูที่เคยเกิดขึ้น

งานประเมินวิทยฐานะ คือ การที่ครูทุกคนจะต้องเข้ารับการประเมินเพื่อเลื่อนตำแหน่ง ที่ผ่านมาเคยมีกรณีที่เกิดปัญหาคือการเพิ่มภาระงาน โดยครูจำเป็นต้องทำเอกสารต่าง ๆ หลายขั้นตอน เกิดเป็นกองเอกสารมากมาย มีการประเมินทุกอย่าง ประเมินนักเรียน ครูด้วยกันรวมถึงประเมินโรงเรียน ผลเสียที่ตามมาคือเกิดภาระงานมากจนเบียดบังการสอน นอกจากนี้ยังทำให้เกิดภาวะหมดไฟในการทำงานอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม งานประเมินวิทยฐานะได้รับการแก้ไขในเวลาต่อมาด้วยระบบประเมินใหม่ที่ไม่ก่อให้เกิดภาระงาน ทั้งนี้ งานประเมินวิทยฐานะยังคงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาภาระงานทั้งหมดของครู

งานครูเวร คืองานที่ครูได้รับมอบหมายให้ดูแลความเรียบร้อยของโรงเรียน มีขอบเขตการทำงานที่รวมถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนอยู่ด้วย ในช่วงต้นปี 2567 เกิดเหตุครูถูกทำร้ายร่างกายระหว่างอยู่เวรวันหยุดโรงเรียน งานครูเวรนั้นจึงเป็นงานที่มีความเสี่ยง และต่างจากงานการสอนทั่วไป ปัญหาจากเหตุดังกล่าว ทำให้ครม. มีมติยกเลิกครูเวร และให้มีการจัดจ้างรปภ. มาทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยแทน ถึงกระนั้นก็ยังพบรายงานสถานศึกษาหลายแห่งยังคงให้ครูเข้าเวร แต่ใช้วิธีเปลี่ยนคำเรียกเท่านั้น

งานการเงินและพัสดุ กลายเป็นงานหลักของครูหลายคน ทั้งที่เป็นงานที่มีรายละเอียดและต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง นอกจากนี้การเงินและพัสดุของราชการไทยยังต้องอยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560ที่มีขั้นตอนรวมถึงการตรวจสอบที่เข้มงวด
ล่าสุดกับกรณีการเสียชีวิตของครูมัทที่ได้เขียนจดหมายถึงงานการเงินและพัสดุที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจอย่างหนัก ผลการศึกษาการวิเคราะห์ผลของการใช้เวลาในการปฏิบัติภาระงานสอนที่มีต่อประสิทธิภาพการสอนของครูในสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เผยว่า ภาวะงานที่ครูใช้เวลามากที่สุดคืองานธุรการที่มีค่าเฉลี่ยถึง 346 ชั่วโมงต่อภาคเรียน

ยังมีงานอื่น ๆ ที่เป็นงานนอกเหนือจากงานสอนหนังสือ เช่น งานประกันคุณภาพ งานพิธีการ งานอบรมต่าง ๆ ยังมีงานนอกสถานที่อื่น ๆ ที่เป็นภาระงานนอกเหนืองานสอนที่ครูจำเป็นต้องทำ ทั้งที่แท้จริงแล้วแต่จะเนื้องานเหล่านั้นใช้ทักษะที่แตกต่างกันไปและต้องการความเชี่ยวชาญรวมถึงคุณสมบัติเฉพาะทาง

งานครูไทยมีมากกว่างานสอน

ปัญหา “ครูไทยงานล้น” รากของปัญหาคืออะไร ?

ความพยายามในการช่วยเหลือครูไทยท่ามกลางระบบที่ให้ครูแบกงานในหลายส่วน มีมาตลอดแต่ยังคงติดขัดในหลายส่วน ต่อประเด็นปัญหาภาระงานของครูเหล่านี้ รศ.ดร.จุไรรัตน์ สุดรุ่ง ผู้ทรงวุฒิ สาขาวิชานิเทศการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะที่ทำงานด้านการศึกษามาอย่างยาวนาน พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักศึกษาปริญญาโทที่ส่วนใหญ่เป็นครู จึงได้รับรู้ปัญหามาตลอด และพบว่า แม้ปัญหาจะมีมายาวนานแต่ก็ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

“จริง ๆ สภาพปัญหานี้ไม่ได้พึ่งเกิด เพียงแต่เสียงของครูไม่ได้ผล จนจะต้องมีเคสนึงที่เกิดอะไรขึ้นมา เหมือนคนที่ยอมถวายตัวและทำให้สังคมต้องตื่นรู้ขึ้นมาว่ามีปัญหานี้อยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่สะเทือนใจ แต่ก็เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เคสนี้ถูกกดดันด้วยความเสี่ยงที่ถึงขั้นติดคุก โดยที่ใครก็ช่วยไม่ได้”

รากของปัญหานั้นมีมาช้านาน เธอเผยว่าไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนนักว่าเกิดในช่วงเวลาใด เพียงแต่สถานการณ์ดังกล่าวค่อย ๆ แทรกซึม หล่อหลอมขึ้น โดยในสมัยก่อนครูจะแบ่งออกเป็น 2 สายงานชัดเจน คือครูการสอน และครูสนับสนุน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเรียนเอกชนทั่วไปเหมือนทุกวันนี้

“สมัยก่อนเป็นแบบนั้นเราเคยมีการจัดโครงสร้างแยกกันแบบครูทำงานการสอนกับครูทำงานสนับสนุน เรื่องเทคโนโลยีการจัดการอะไรต่าง ๆ เราทำหน้าที่ครูสอน เราไม่ต้องยุ่ง เราเต็มที่กับการสอน เรามีความสุข แล้วการเปลี่ยนแปลงก็ค่อย ๆ เกิดขึ้น”

“ครูบรรณารักษ์ ครูฝ่ายสนับสนุน ครูเหล่านี้มองไม่เห็นหนทางเติบโตในสายงานตัวเอง สมัยก่อนครูการสอนจะเลื่อนตำแหน่งจากตรีไปโท ก็สอบ เราโตขึ้นตามสายงาน แต่ครูฝ่ายสนับสนุนไม่มีเส้นทางการเติบโตเหล่านี้ จึงมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่มีหลักฐานชัดเจนนักว่าเป็นช่วงเวลาใด แต่ค่อย ๆ กลืนมา ครูสนับสนุนค่อย ๆ มีวิชาสอนแล้วเติบโตขึ้นด้วยการสอบ จากนั้นก็ค่อยๆ หลอมจนกลายเป็นว่า ครูจะทำทั้งงานสอนและทำงานสายสนับสนุนอย่างทุกวันนี้”

การที่ครูต้องทำงานหลายอย่าง (ที่มากกว่าการสอน) ส่งผลเสียต่อการเรียนรู้ของเด็กทางอ้อม จากประสบการณ์ในแวดวงหากอิงจากระดับคะแนน PISA ซึ่งเป็นโครงการประเมินสมรรถนะนักเรียนในระดับสากล ประเทศที่มีคะแนน PISA อยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก รวมถึงโรงเรียนเอกชนส่วนใหญ่ในไทย ต่างก็มีการจัดโครงสร้างแยกงานครูสอนและงานฝ่ายสนับสนุนอย่างชัดเจน โดยครูการสอนก็จะทำงานสอนอย่างเดียว

“ในประเทศจีนที่ระดับคะแนน PISA พุ่งขึ้นมาสูงมาก แซงประเทศในแถบยุโรป ครูสอนทำหน้าที่สอนอย่างเดียว แต่ครูก็ต้องรับผิดชอบงานตัวเอง ต้องรู้จักเด็กเป็นรายคน รู้จักจุดแข็ง จุดอ่อนของเด็กรายคน แล้วพัฒนาไปตามเป้าที่วางไว้ ผลงานของครูคือเด็กต้องพัฒนาขึ้น”

กลับมาที่ครูไทยที่ต้องทำงานมากมาย ตั้งแต่งานการเงิน พัสดุ ไปจนถึงงานบริหารและงานต่อส่วนกลาง ระบบดังกล่าวยิ่งกลืนกินครูที่สอนเก่งให้หายไปจากห้องเรียน

“ครูไทย เราต้องทำงานโน่นนี่ ทุกอย่าง คาบสอนจริง ๆ ถ้าสอนอย่างเดียวครูไทยจะต้องสอนประมาณ 16 – 20 คาบต่อสัปดาห์  เทียบกับประเทศที่การศึกษาดีจะสอนไม่เกิน 10 คาบเท่านั้น ถือว่าเยอะมาก แล้วถ้าสอนเก่ง ทำงานดี ก็จะถูกหมายตาจากฝ่ายบริหารให้มาช่วยงานอีก พอถูกดึงมาทำอย่างอื่น ครูที่เคยเป็นครูเก่งสอนดี ต้องลดภาระงานการสอน สอนเหลือ 5 คาบบ้าง เพราะมีภาระงานอื่นดึงตัวไปจากห้องเรียน”

ทางออกของปัญหา…คืนครูกลับสู่ห้องเรียน ?

ผศ.ดร.จุไรรัตน์ มองว่าการแก้ปัญหา ต้องมาจากการแก้ไขในเชิงโครงสร้างเป็นหลัก โดยบทบาทสำคัญคือผู้บริหารในระดับหน่วยงานอย่างกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงมหาดไทย และอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“ถ้าไม่แก้โครงสร้างมันยากมาก คนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือครู แล้วเด็กจบครูใหม่ทุกวันนี้กว่าจะสอบเข้า กว่าจะบรรจุกันมาเป็นครู เขามาเจอระบบแบบนี้ทำลายหมด”

ในมุมมองของผศ.ดร.จุไรรัตน์ การแก้ไขปัญหายังคงเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายเสนอมาตลอด นั่นคือการคืนครูกลับสู่ห้องเรียน โดยต้องมีการคลี่โครงสร้างการทำงาน จัดการให้คนที่มาในสายงานสอนได้สอน ขณะที่คนที่ทำงานในสายสนับสนุนได้มีความเจริญเติบโตทางหน้าที่การเงินที่เหมาะสมควบคู่กันไป

“ถ้าสมมติว่ากระทรวงฯ มานั่งแก้ไขงาน แล้วคลี่โครงสร้างให้ดี ทำให้คนที่มาในสายงานของเขา เช่น บรรจุเป็นครูผู้สอนก็ให้สอนหนังสือ หรือพัฒนานักเรียนก็ว่าไป ส่วนสายสนับสนุนการสอนก็ให้คนเหล่านี้มาทำด้านสนับสนุนการสอน ทำงานในกลุ่มงานมากมายที่มี สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดภาระงานครูฝ่ายสอนได้ แต่ก็ต้องมีความก้าวหน้าในวิชาชีพของพวกเขาด้วย ต้องมานั่งมองว่าความก้าวหน้าของพวกเขาคืออะไร” 

ระบบการศึกษาไทยมีการกระจายอำนาจให้มีการจัดการศึกษาได้ โดยเฉพาะในระดับของการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีหลายหน่วยงานคนละสังกัดกันในการรับผิดชอบดูแลโรงเรียนในแต่ละพื้นที่

“มันสะเปะสะปะ ไม่พัฒนาไปในทางเดียวกัน โรงเรียนเอกชนก็อยู่ในสังกัดภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ แต่มาตรฐานกลับเป็นคนละแบบ ไม่เคยพัฒนาไปในทางเดียวกัน ทั้งที่เด็กต้องเรียนเหมือนกัน เส้นทางเดียวกัน มีอนุบาล – ประถม - มัธยม สำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานเหมือนกัน”

สถานการณ์เกี่ยวกับภาระงานครูในตอนนี้นั้น ผศ.ดร.จุไรรัตน์ ฉายภาพให้เห็นว่า โครงสร้างการทำงานที่โรงเรียนเอกชนส่วนใหญ่ มีการแบ่งงานชัดเจนระหว่างงานสอนและงานสนับสนุน โดยมีความก้าวหน้าทางหน้าที่การงานในรูปแบบของเงินเดือน ขณะที่ฝั่งโรงเรียนภาครัฐยังใช้ระบบการเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการ โดยมีเงื่อนไขให้ครูต้องทำงานอื่นควบคู่กับงานสอนไปด้วย

“ใครก็ตามที่รับผิดชอบเรื่องนี้ต้องคนในระดับกระทรวง แต่ต้องเก็บข้อมูลทำการวิจัยต่าง ๆ จากครูที่เขาทำงานอยู่ ยิ่งโรงเรียนเล็กยิ่งน่าสงสาร มันยากที่จะพัฒนาการศึกษาไทยที่ก้าวหน้าไปทันที่อื่นหากโครงสร้างยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้”

จากภาระงานของครูไทยนำมาซึ่งการสูญเสียครั้งใหญ่ นี่เป็นอีกบทเรียนจากชีวิตของครูอีกคนที่ทิ้งไว้ให้กับระบบการศึกษานี้ ปัญหาที่กินเวลายาวนานเกิน 10 ปี ถึงเวลาแก้ไขแล้วหรือยัง ?

อ้างอิง

  • วารสารอิเล็กทรอนิกส์ทางการศึกษา (OJED) จุฬาลงกรมหาวิทยาลัย
  • กระทรวงศึกษาธิการ
  • เครือข่ายครูขอสอน
     

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ครูครูไทยภาระงานครูระบบการศึกษาการเรียน
อธิเจต มงคลโสฬศ

ผู้เขียน: อธิเจต มงคลโสฬศ

เจ้าหน้าที่เนื้อหาดิจิทัล ไทยพีบีเอส สนใจเนื้อหาด้านสุขภาพจิต สาธารณสุข และความยั่งยืน รวมถึงประเด็นทันกระแสที่มีแง่มุมน่าสนใจซ่อนอยู่

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด