นกอินทรี หรือเทพีเสรีภาพ อาจจะเป็นสัญลักษณ์แรก ๆ ที่เรานึกถึงควบคู่ไปกับประเทศสหรัฐอเมริกา แต่สารคดีเรื่องนี้จะทำให้เรานึกถึงอีกหนึ่งสัญลักษณ์ซึ่งอันที่จริงแล้วฝังลึกในจิตวิญญาณของคนอเมริกันมากยิ่งกว่า นั่นก็คือ “ม้า”
ผู้กำกับ เอริก เบนดิค ใช้เวลา 50 นาทีในการพาเราเดินทางข้ามเวลา 50 ล้านปี (!) เริ่มต้นจากการค้นพบฟอสซิลม้าในไวโอมิง ไล่ไปจนถึงการกลับมาของม้าสู่ทวีปอเมริกาเหนือบนเรือสเปนหลังจากสูญหายไป 10,000 ปี โดยเส้นเรื่องหลักของสารคดีจะเป็นการเจาะลึก 4 สายพันธุ์ม้าอเมริกันที่สำคัญที่สุด และเป็นสายพันธุ์ที่ถือกันว่ามีบทบาทโดดเด่นในการหล่อหลอมประวัติศาสตร์ชาติอเมริกาขึ้นมาตลอดเส้นทางประวัติศาสตร์
4 สายพันธุ์ที่ว่านี้ได้แก่ มัสแตง ซึ่งเป็นตัวแทนของเสรีภาพและจิตวิญญาณเสรี (โดยเฉพาะมัสแตงไพรเออร์ที่ถูกแยกจากโลกภายนอกนานถึง 400 ปี ทำให้เป็นสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงที่สุดกับม้าสเปนดั้งเดิม), แอพพาลูซา เป็นม้าที่มีความเชื่อมโยงกับชนเผ่า เป็นที่เคารพมายาวนาน, ควอเตอร์ฮอร์ส สายพันธุ์ที่ถูกออกแบบมาให้ทำงานในทุ่งกว้างโดยเฉพาะ (มันจึงมีบทบาทมาก ๆ ต่อการพัฒนาการเกษตรในภาคตะวันตกของอเมริกา) และ มอร์แกน ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เคยถูกมองข้าม แต่ปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นม้าที่ทั้งแข็งแกร่งและซื่อสัตย์ภักดี


ในอันจะทำสารคดีว่าด้วยม้าให้น่าประทับใจ แน่นอนว่าหัวใจสำคัญหนีไม่พ้นการต้องไปติดตามบันทึกภาพสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ขณะอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์ธรรมชาติตามจริง ทีมงานจึงต้องถ่ายทำในสภาพแวดล้อมหลากหลายและเต็มไปด้วยความยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นบนเทือกเขาไพรเออร์ที่ถนนแสนขรุขระ หรือในไอดาโฮที่มีไฟป่าและอุณหภูมิร้อนระอุ นอกจากนั้นการจะทำงานกับม้าป่านับร้อยตัวก็ยังต้องอาศัยทั้งความอดทนขั้นสุด ความเข้าใจอย่างชัดเจนต่อลักษณะนิสัยของพวกมัน และเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะการใช้กล้องสโลว์โมชั่นระดับ 1,000 เฟรมต่อวินาที เพื่อจะได้จับภาพความเคลื่อนไหวและการต่อสู้ของม้าตัวผู้ไว้ได้อย่างละเอียดลออและงดงามน่าตื่นตาตื่นใจ
อีกจุดแข็งหนึ่งของสารคดีเรื่องนี้ คือการที่เบนดิคไม่ได้เจาะจงเล่าเฉพาะแง่มุมประวัติศาสตร์ แต่ยังนำเสนอเรื่องของผู้คนในปัจจุบันที่พยายามรักษาประเพณีไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าที่ยังผูกพันกับม้าสายพันธุ์แอพพาลูซาและยังฝึกฝนทักษะการขี่ม้าแบบดั้งเดิม หรือครอบครัวเลี้ยงม้าในทุ่งกว้างที่ยังดำเนินกิจการตามรอยบรรพบุรุษ โดยแนวคิดสำคัญที่เราจะได้รับรู้ไปด้วยตลอดทั้งเรื่องก็คือ การที่ม้าได้รับความยกย่องจากผู้คนเหล่านี้ว่าเป็นมากกว่าสัตว์ป่า แต่เป็นตัวแทนของค่านิยม เสรีภาพ ความฝันแบบอเมริกัน และการวิวัฒนาการของพวกมันก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับการปรับตัวทางประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาเอง
หรือเราอาจจะสรุปประเด็นทั้งหมดข้างต้นได้ด้วยวลีสั้น ๆ ที่ว่า "ม้าหล่อหลอมชาติ ชาติหล่อหลอมม้า" เพราะความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งสองไม่ใช่นายกับบ่าว เจ้าของกับสัตว์เลี้ยง แต่อยู่ในฐานะ “พันธมิตร”



Horse Power - American Legacies ได้รับคำชมว่างดงามและให้ข้อมูลได้ยอดเยี่ยม ทำให้แง่มุมนี้ทางประวัติศาสตร์สามารถเป็นที่รับรู้ของคนวงกว้างได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น แต่มันก็มีจุดอ่อนตรงความยาวเพียง 50 นาทีที่ทำให้เล่าเรื่องได้น้อยเกินไป รวมทั้งการเลือกเน้นไปที่ม้าแค่ 4 สายพันธุ์ก็ทำให้เรื่องขาดความหลากหลายไปอย่างน่าเสียดาย เพราะในความจริงแล้ว อเมริกามีม้าที่จดทะเบียนไว้ถึงกว่า 100 สายพันธุ์เลยทีเดียว
อีกประเด็นสำคัญที่สารคดีถูกวิจารณ์ คือการที่น้ำหนักเสียงหลัก ๆ ของมันเน้นไปที่ “ความเป็นเลิศของอเมริกา” ทำให้ขาดรายละเอียดที่แสดงถึงความจริงทางประวัติศาสตร์ด้านที่อาจจะไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ เช่น เรื่องความขัดแย้งระหว่างรัฐกับชนพื้นเมืองในอดีต ซึ่งกองทัพมักสังหารม้าของชนพื้นเมืองเพื่อบีบให้พวกเขาต้องสูญเสียวิถีชีวิตดั้งเดิม ย้ายเข้าอยู่เขตสงวนแล้วลงเอยด้วยการเป็นเกษตรกร, ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เมื่อจำนวนม้าป่าในปัจจุบันมีเยอะมากจนขาดแคลนอาหารและระบบนิเวศเสียสมดุล รวมทั้งปัญหาด้านกฎหมายเกี่ยวกับการลงทะเบียนม้าซึ่งทำให้เกิดปัญหาม้าเถื่อนตามมา เป็นต้น


▶ ติดตามสารคดี Horse : Power American Legacies ม้าอเมริกัน...พลังเหนือกาลเวลา พาออกเดินทางตามรอยการเกิดขึ้นของสายพันธุ์ของม้า จากหลักฐานฟอสซิล พบว่าในทวีปอเมริกาเคยมีม้าอาศัยอยู่เมื่อหลายล้านปีก่อน แต่เพราะเหตุใดไม่ทราบม้าได้สูญพันธุ์ไปจากทวีปนี้ จนกระทั่งนักสำรวจชาวสเปน นำม้ายุโรปกลับคืนมา ม้าจึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
รับชมได้ทาง www.VIPA.me หรือ VIPA Application