ในสารคดีเรื่องนี้ เราจะได้เห็นภาพต้นไม้สูงตระหง่านกลางผืนป่าในแบบที่ไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก เพราะมันถูกนำเสนออย่างงดงามราวกับภาพวาดตำนานเก่าแก่ ผ่านการจัดวางบนจอด้วยสัดส่วนซีเนมาสโคป เห็นลำแสงที่ส่องลอดผ่านยอดไม้ บวกกับเทคนิคพิเศษที่เพิ่มประกายระยิบระยับ ซึ่งล้วนทำให้เรารู้สึกได้ว่าต้นไม้นั้นคือ ‘สิ่งมีชีวิต’
ภาพแปลกตาดังกล่าวเกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของผู้กำกับภาพ เชอร์วิน อัคบาร์ซาเดห์ และกลุ่ม The Tree Projects ซึ่งประกอบด้วยนักปีนต้นไม้มืออาชีพกับนักวิทยาศาสตร์ด้านป่าไม้ พวกเขาต้องปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ในป่าโบราณสูงถึง 80 เมตรเพื่อติดตั้งกล้องแล้วเก็บภาพจากมุมมองหาดูยาก จากนั้นทีม TerraLuma ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยข้อมูลเชิงพื้นที่ของมหาวิทยาลัยแทสเมเนีย ก็ใช้เทคนิคการสแกนด้วยเลเซอร์ 3 มิติจากพื้นดินและการสแกนด้วยโดรนทางอากาศ เพื่อรวบรวมข้อมูลพอยต์คลาวด์ (point cloud data - กลุ่มข้อมูลของจุดสามมิติ) ของต้นไม้หลักและป่าโดยรอบ
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การที่พวกเขาพลิกแพลงเครื่องมือเหล่านี้ (ซึ่งปกติใช้ในอุตสาหกรรมป่าไม้เพื่อคำนวณปริมาณไม้) มาใช้ในการ ‘จับภาพความงามและความหลากหลายของป่าโบราณ’ ก่อนส่งต่อข้อมูลไปยังทีมนักออกแบบโมชัน เพื่อลงมือสร้างสรรค์แอนิเมชันภาพเคลื่อนไหว 3 มิติที่ทำให้เรารู้สึกเสมือนต้นไม้แต่ละต้นนั้นเป็นตัวละครที่มีชีวิตชีวา มีการเติบโตและมีพลังแห่งการดำรงชีพที่ชวนให้อัศจรรย์ใจ
แต่นั่นยังไม่ใช่สารทั้งหมดที่สารคดีเรื่องนี้ต้องการจะสื่อ เพราะอีกครึ่งหนึ่งของหนัง มันยังบอกเล่าเรื่องซึ่งน่าตื่นเต้นและสร้างแรงบันดาลใจได้ไม่แพ้ภาพมหัศจรรย์ของป่า นั่นคือเรื่องราวของ ‘บ็อบ บราวน์’ นักต่อสู้ผู้ทุ่มเทชีวิตยาวนานหลายสิบปีให้แก่การปกป้องความงดงามของป่าเหล่านี้ในออสเตรเลียไว้สำหรับคนรุ่นลูกหลาน


บ็อบ บราวน์เกิดในปี ค.ศ. 1944 ที่นิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ช่วงแรก ๆ เขาทำงานเป็นแพทย์ ก่อนจะผันตัวมาเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม จุดเปลี่ยนสำคัญของบราวน์เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1976 ระหว่างไปเดินทางล่องแพในแม่น้ำแฟรงคลินซึ่งทำให้เขาได้ค้นพบความสวยงามและยิ่งใหญ่น่าหวงแหนของมัน ประสบการณ์นั้นจุดประกายให้เขาตัดสินใจริเริ่มขบวนการปกป้องธรรมชาติ อันนำมาสู่การก่อตั้งสมาคม Wilderness Society และเป็นหัวหอกของการประท้วงต่อต้านการสร้างเขื่อนที่แม่น้ำแฟรงคลินในปี ค.ศ. 1982
การประท้วงครั้งนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลก ซึ่งความสำเร็จส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดและบุคลิกอันเปี่ยมเสน่ห์ของตัวบราวน์นี่เอง เขากับทีมงานสามารถดึงดูดผู้คนหลากหลายมาเข้าร่วมได้ถึงกว่า 6,000 คน แม้มันจะลงเอยด้วยการที่รัฐส่งตำรวจเข้าสลายการชุมนุมจนมีคนถูกจับกุม 1,500 คน และถูกจำคุก 600 คน รวมถึงตัวบราวน์เองที่ถูกจำคุกนาน 19 วัน แต่ในวันเดียวกับที่เขาได้รับการปล่อยตัว บราวน์ก็ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกรัฐสภาแทสเมเนีย ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักการเมืองสีเขียวคนแรกในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย (ต่อมาในปี ค.ศ. 1989 เขาได้เป็นผู้นำทีมกรีนและมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งพรรคกรีนออสเตรเลีย จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1996 เขาก็ได้รับเลือกเข้าสู่วุฒิสภาออสเตรเลีย โดยเป็นวุฒิสมาชิกพรรคกรีนคนแรกของประเทศ)
ตลอดเส้นทางนั้น บราวน์ไม่เพียงต้องยืนหยัดเผชิญหน้ากับพรรคการเมืองรุ่นเก่าหรือทุนฝ่ายตรงข้ามที่จ้องแต่จะแสวงประโยชน์จากป่าโดยไม่สนใจผลกระทบ แต่เขากับมิตรสหายร่วมอุดมการณ์ยังต้องอดทนกับการถูกเหยียดหยามถากถาง ทว่าน่าทึ่งที่อุปสรรคกลับทำให้บราวน์ยิ่งฮึดสู้แบบไม่เกรงใจใคร แถมเขาไม่ได้สู้แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ยังเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน สิทธิด้านความหลากหลายทางเพศ (บราวน์เปิดเผยว่าตนเองเป็นเกย์เมื่อปี ค.ศ. 1976) สิทธิผู้ลี้ภัย การควบคุมอาวุธปืน ความโปร่งใสทางการเมือง และการตรวจสอบกลุ่มทุนสื่ออย่างดุเดือดอีกด้วย
ผู้กำกับ ลอเรนซ์ บิลเลียต และ เรเชล แอนโทนี ตัดสินใจใช้วิธีเล่าเรื่องป่าไม้กับเรื่องชีวประวัติของบ็อบ บราวน์คู่ขนานกันไป เพราะได้แรงบันดาลใจหลังจากอ่านหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ป่าไม้หลายเล่ม เช่น The Hidden Life of Trees, Finding the Mother Tree, The Secret Life of Trees และ The City of Trees ซึ่งทำให้พวกเขาค้นพบข้อเท็จจริงที่ไม่เคยรู้มาก่อน นั่นคือ ต้นไม้ไม่ได้เติบโตในป่าอย่างเป็นเอกเทศ แต่พวกมันสัมพันธ์กันในฐานะ ‘ชุมชน’


บิลเลียตอธิบายว่า "เราเลยคิดว่าน่าสนใจดีถ้าลองเล่าเรื่องชีวิตของบ็อบให้เชื่อมโยงกับเรื่องของป่า และสำรวจความสัมพันธ์ที่ซ้อนทับกันระหว่างชีวิตมนุษย์กับชีวิตต้นไม้" ส่วนแอนโทนีเสริมว่า “บ็อบเป็นทั้งพลังเพื่อธรรมชาติและพลังแห่งธรรมชาติ แล้วจะมีอะไรดีไปกว่าการเชื่อมโยงชีวิตของบ็อบเข้ากับต้นไม้ของเราล่ะ คนดูจะได้เห็นว่าเรื่องราวทั้งสองเชื่อมต่อกันอย่างไร”
วิธีนี้ส่งผลให้เมื่อมองด้านหนึ่ง The Giants ดูเหมือนหนังสองเรื่องที่ต่างมีเส้นเรื่องเป็นของตัวเอง แต่มองอีกด้าน ทั้งสองเส้นเรื่องนั้นมุ่งให้เราได้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ทรงอำนาจของธรรมชาติและความเปราะบางพร้อมจะถูกทำลายลงได้ทุกเมื่อของมัน ชื่อหนัง ‘ยักษ์ใหญ่’ อาจหมายถึงทั้งต้นไม้กลางป่าอายุยืนยาวที่เติบโตงอกงามขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาที่ผ่านไป และอีกด้านก็หมายถึงบราวน์กับเหล่ามนุษย์ที่แม้ร่างกายจะเล็กจ้อย ทว่าในยามต่อสู้อย่างอาจหาญ พวกเขาก็กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่ที่ยืนอย่างผงาดและท้าทาย
บิลเลียตให้สัมภาษณ์ย้ำประเด็นนี้ไว้ว่า “สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากชีวิตของบ็อบก็คือ ไม่มีอะไรที่กลุ่มคนเล็ก ๆ จะทำไม่ได้ บ็อบเป็นคนพิเศษ แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนธรรมดามาก ๆ ด้วย ...ผมคิดว่าหากทุกคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วเกิดความประทับใจและลงมือทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก มันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในที่สุด”

▶ ติดตามสารคดี The Giants เรื่องราวน่าทึ่งของ "บ็อบ บราวน์" บุคคลสำคัญของชุมชน LGBTQ+ และนักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม สารคดีบอกเล่าความเชื่อมโยงผูกพันระหว่างต้นไม้กับมนุษย์ วัฏจักรชีวิตอันน่าทึ่งของต้นไม้ยักษ์ใหญ่ในออสเตรเลียซึ่งเป็นต้นไม้ที่สูงและเก่าแก่ที่สุดในโลก
รับชมได้ทาง www.VIPA.me หรือ VIPA Application