ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

สองหมื่นปีออกจากแอฟริกาที่ล้มเหลว...แต่ !


วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

รศ. ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล

แชร์

สองหมื่นปีออกจากแอฟริกาที่ล้มเหลว...แต่ !

https://www.thaipbs.or.th/now/content/2969

สองหมื่นปีออกจากแอฟริกาที่ล้มเหลว...แต่ !

วันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 2025 คณะนักวิทยาศาสตร์นานาชาติแห่งสถาบันมักซ์พลังค์ภูมิมานุษยวิทยา (Max Planck Geoanthropology) ประเทศเยอรมนี มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge University) ประเทศอังกฤษและอื่น ๆ ร่วมกันตีพิมพ์ในวารสาร Nature รายงานผลการศึกษาวิจัยใหม่ พบสาเหตุความล้มเหลวของมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ (Homo Sapiens) ในความพยายามเดินทางออกจากแอฟริกา เมื่อประมาณ 70,000 ปีก่อน เป็นเวลาประมาณ 20,000 ปี แต่ก็เป็นความล้มเหลวที่มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ในการเดินทางออกจากแอฟริกา เมื่อประมาณ 50,000 ปีก่อน สู่เอเชียและยุโรปหรือยูเรเชีย (Eurasia : ยุโรป+เอเชีย)

“วิทยาศาสตร์ ทันโลก ทันชีวิต” วันนี้ ขอนำท่านผู้อ่านไปดูผลการวิจัยศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์ ไปดูวิธีการวิจัยศึกษา และไปดูว่าผลการวิจัยใหม่ ช่วยตอบโจทย์ทฤษฎีออกจากแอฟริกา (Out of Africa Theory) ได้แค่ไหน ?

เรื่องราวหลักหรือโจทย์ของคณะนักวิทยาศาสตร์ของเราวันนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของมนุษย์ยุคใหม่ โฮโมเซเปียนส์ ในช่วงเวลาสำคัญก่อนการเดินทางออกจากแอฟริกาสู่โลกกว้างได้สำเร็จ

แต่...ก่อนจะไปเปิดดูผลการวิจัยศึกษาใหม่เราไปทบทวนอย่างเร็วๆ เรื่องราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลก คือ “ทฤษฎีวิวัฒนาการ” ของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin : ค.ศ. 1809-1882) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนเกี่ยวกับกำเนิดที่มาของมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ ซึ่งเป็นชนวนที่มากของการ “ปะทะวาที” ที่เผ็ดร้อน รู้จักเรียกกันเป็น “1860 Oxford Evolution Debate” (“1860 การโต้วาทีวิวัฒนาการที่ออกซ์ฟอร์ด”) ระหว่าง นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้ชื่อเป็น “Darwin’ s Watchdog” ที่ผู้เขียนขอเรียกเป็น “ผู้พิทักษ์ดาร์วิน” กับสังฆนายกแห่งออกซ์ฟอร์ด

ชาร์ลส์ ดาร์วิน-ทฤษฎีวิวัฒนาการ-และกำเนิดมนุษย์ยุคใหม่

ในประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ของโลก หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของโลก คือ ชาร์ลส์ ดาร์วิน จากการเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการเมื่อปี ค.ศ. 1859

ทฤษฎีวิวัฒนาการมิใช่เป็นทฤษฎีที่มีความสำคัญมากที่สุดทฤษฎีหนึ่งของโลกวิทยาศาสตร์เท่านั้น ยังได้รับการโหวตเป็นลำดับที่ 7 ใน 50 ความคิดเปลี่ยนมนุษยชาติ (“50 ความคิดเปลี่ยนมนุษยชาติ” , ชัยวัฒน์ คุประตกุล , แปล , มูลนิธิเด็ก , 2559 ; จากหนังสือ “The World’ s Greatest Ideas : The Fifty Greatest Ideas That Have Changed Humanity” , John Farndon , Icon Book , 2010) ด้วย

ชาร์ลส์ ดาร์วิน เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างเก็บตัว ไม่ชอบการโต้เถียงรุนแรงหรือการขัดแย้ง แต่ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่ “ชวนทะเลาะ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทางศาสนา ที่มี “ทฤษฎีพระเจ้าผู้สร้าง” หรือ “Creation Theory” ครองความคิดความเชื่อของคนทั้งโลกตลอดมา

อีกทั้ง ดาร์วิน ดูจะเป็นคนไม่ “มั่นใจ” ในตนเองง่ายและมากนัก เพราะเขาได้ความคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของชีวิตบนโลกตั้งแต่หลังการเดินทางไปกับเรือบีเกิล (Beagle) เป็นเวลา 5 ปี (ระหว่าง ค.ศ. 1831-1836) และได้สำรวจศึกษาตัวอย่างสัตว์มีเฉพาะ...หรือส่วนใหญ่...ที่หมู่เกาะกาลาปากอส (Galapagos) ประเทศเอกวาดอร์ ดังเช่น เต่ายักษ์และนกฟินซ์ (finch) เป็นเวลา 5 สัปดาห์ในปี ค.ศ. 1835

แต่ ดาร์วิน ก็ใช้เวลาประมาณ 20 ปี ทบทวน ตั้งหลัก สำหรับการเสนอความคิดใหม่ของเขา ที่ตระหนักแก่ใจดีว่า จะต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายศาสนา

ทว่า ในที่สุด ดาร์วิน ก็ตัดสินใจประกาศทฤษฎีวิวัฒนาการของเขา ด้วยการตีพิมพ์หนังสือ “กำเนิดของสปีชีส์” หรือ “On the Origin of Species by Means of Natural Selection , or the preservation of Favoured Races in the Struggle for Life” (กำเนิดของสปีชีส์โดยการคัดสรรของธรรมชาติ หรือการคงอยู่ของเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่าในการต่อสู้เพื่อชีวิต) ในปี ค.ศ. 1859

Charles Darwin

ทำไม ชาร์ลส์ ดาร์วิน จึงตัดสินใจตีพิมพ์หนังสือประกาศทฤษฎีวิวัฒนาการของเขา ?

เหตุผลคือ แรงกระตุ้นจากนักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจคล้าย ดาร์วิน ชื่อ อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซ (Alfred Russel Wallace : ค.ศ. 1823-1913) ซึ่งก็ได้เกิดความคิดเป็นทฤษฎีวิวัฒนาการจากการคัดสรรของธรรมชาติคล้ายของ ดาร์วิน แต่ไม่ละเอียดและชัดเจนเท่า โดย วอลเลซ ได้เขียนเป็นบทความเกี่ยวกับวิวัฒนาการตามความคิดของเขา ส่งให้ดาร์วินในปี ค.ศ. 1958 เพื่อช่วยพิจารณาว่า ดีพอที่จะตีพิมพ์หรือไม่...

ซึ่ง ดาร์วิน ก็ได้ส่งต่อให้บทความของวอลเลซได้รับการลงตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1858 นั้น โดยมีส่วนความคิดของ ดาร์วินร่วมตีพิมพ์อยู่ด้วย

ส่วนดาร์วินเอง ก็เร่งเขียนทฤษฎีวิวัฒนาการของเขาเองให้จบ แล้วตีพิมพ์เป็นหนังสือ “The Origin of Species” ที่โด่งดังของเขา

โดยทั่วไปในวงการวิทยาศาสตร์ ยกให้การตีพิมพ์หนังสือ “The Origin of Species” เป็นจุดกำเนิดของทฤษฎีวิวัฒนาการ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการยกให้การตีพิมพ์บทความของวอลเลซ ที่มีความคิดของดาร์วินร่วมตีพิมพ์อยู่ด้วย เป็นจุดกำเนิดของทฤษฎีวิวัฒนาการ และยกย่องวอลเลซเป็นผู้ร่วม “ค้นพบ” ทฤษฎีวิวัฒนาการด้วย...

แต่ในภาพใหญ่ วงการวิทยาศาสตร์และตัววอลเลซเอง ก็ยกให้ดาร์วินเป็นผู้ค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการ โดยดาร์วินก็ยกย่องว่าวอลเลซค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการด้วยตัวของวอลเลซเองด้วย

“ผู้พิทักษ์ดาร์วิน” กับ “การปะทะวาที” ที่ออกซ์ฟอร์ด

หลังการตีพิมพ์หนังสือ “The Origin of Species” สิ่งที่ดาร์วินคาดคิดก็เกิดขึ้นจริง เพราะทางฝ่ายศาสนาก็แสดงปฏิกิริยาไม่สบายใจกับทฤษฎีวิวัฒนาการ เพราะขัดแย้งกับ “ทฤษฎีพระเจ้าผู้สร้าง”

แต่ดาร์วินก็ไม่โต้ตอบด้วยตนเอง

กล่าวกันว่า ส่วนหนึ่งที่ดาร์วินไม่โต้ตอบ เป็นเพราะมีนักวิทยาศาสตร์ชื่อ โทมัส ฮักซ์ลีย์ (Thomas Huxley : ค.ศ. 1812-1895) ผู้เป็นทั้งเพื่อนและผู้ออกมาโต้ตอบปกป้อง ทั้งดาร์วิน และทฤษฎีวิวัฒนาการแทนดาร์วิน จนกระทั่งได้ชื่อเป็น “Darwin’ s Watchdog” รวมทั้งที่ค่อนข้างหนักอย่างตรงไปตรงมา คือ “Darwin’s Bulldog” ที่ผู้เขียนขอเรียกเป็น “ผู้พิทักษ์ดาร์วิน”

เหตุโด่งดังที่สุดแสดงบทบาทของฮักซ์ลีย์ เกิดขึ้นในการประชุมสัมมนาที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด หัวข้อเรื่อง “Evolution versus Creationism” (“วิวัฒนาการ VS พระเจ้าผู้สร้าง”) วันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1860 ระหว่างฮักซ์ลีย์กับ สังฆนายกแห่งออกซ์ฟอร์ด ซามูเอล วิลเบอร์ฟอร์ซ (Samuel Wilburforce) ผู้ส่งเสียงชัดเจนที่สุดในการต่อต้านทฤษฎีวิวัฒนาการ โดยตัวดาร์วินเองไม่ได้เข้าร่วมการสัมมนาด้วย เพราะป่วยอยู่ที่บ้าน

การปะทะวาทีเกิดขึ้นหลังการนำเสนอโดยผู้บรรยายคนหนึ่ง แล้วสังฆนายกวิลเบอร์ฟอร์ซก็ลุกขึ้น กล่าวอย่างถากถางกับฮักซ์ลีย์ว่า :

แล้วคุณสืบเชื้อสายลิงมาจากทางย่าหรือปู่ล่ะ ?

ฮักซ์ลีย์ โต้ว่า :

ผมยินดีจะมีลิงเป็นบรรพบุรุษ มากกว่าจะสืบเชื้อสายจากคนมีปัญญาสูง แต่ใช้การถากถางและอคติเพื่อปกปิดความจริง !

 

ออกจากแอฟริกา : ต้นเรื่องที่มา

ในทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน ตามหนังสือ “The Origin of Species” กล่าวถึงกำเนิดที่มาของมนุษย์กับลิงว่า มีกำเนิดมาจากบรรพบุรุษร่วมกัน ที่เป็นสัตว์ลักษณะคล้ายลิง ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนต้นไม้เมื่อกว่าสิบล้านปีก่อน แล้วต่อมา มนุษย์กับลิงก็แยกสายพันธุ์ชัดเจน โดยส่วนของมนุษย์ก็วิวัฒนาการต่อๆ มา เป็นมนุษย์โบราณหลายรุ่น จนกระทั่งล่าสุด จึงเป็นมนุษย์ยุคใหม่โฮโมเซเปียนส์

แต่ในหนังสือ “กำเนิดของสปีชีส์” มิได้กล่าวถึง “การเดินทางของมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ออกจากแอฟริกา

จนกระทั่งในหนังสือสำคัญเล่มต่อมาของดาร์วินเกี่ยวกับวิวัฒนาการ คือ The Descent of Man , and Selection in Relation to Sex (ที่มาของมนุษย์ และการคัดสรรเกี่ยวกับเพศ) ตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1971 หลัง The Origin of Species 12 ปี ดาร์วินก็ได้เสนอว่า​ "มนุษย์โฮโมเซเปียนส์ “น่าจะ” มีต้นกำเนิดอยู่ที่แอฟริกา"

อย่างไรก็ตาม ความคิดของดาร์วินว่า แอฟริกาเป็นถิ่นกำเนิดของมนุษย์ยุคใหม่โฮโมเซเปียนส์ทั้งโลก ก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากวงการวิทยาศาสตร์นัก เพราะยังขาดหลักฐานสนับสนุน

จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักฐานจาก

(1) ซากโครงกระดูกมนุษย์ที่พบทั่วโลก

(2) การศึกษา “กลุ่มเลือด” ของมนุษย์ในแถบต่าง ๆ ทั่วโลก

(3) และสำคัญที่สุด คือ หลักฐานจากดีเอ็นเอของไมโทคอนเดรีย (mitochondria) ซึ่งสืบทอดสายพันธุ์เฉพาะมนุษย์เพศหญิง

บทสรุปโดยรวมที่ยอมรับกันในวงการวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่ประมาณกลางศตวรรษที่ 20 มาจึงเป็นว่า มนุษย์ยุคใหม่ โฮโมเซเปียนส์ทั้งหมดสืบเชื้อสายมาจากผู้หญิงคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งในแอฟริกาที่เรียกกันว่า “แม่อีฟ” ตามชื่อของมนุษย์ผู้หญิงคนแรกในพระคัมภีร์ไบเบิล

และจากหลักฐานซากโครงกระดูกมนุษย์โบราณ ก็จึงเป็นที่มาของข้อสรุปว่า มนุษย์โฮโมเซเปียนส์มีกำเนิดในแอฟริกา ประมาณ 200,000 ปีก่อน แล้วต่อมา ก็ได้มีการขยายพรมแดนที่อยู่ไปทั่วโลก โดยความพยายามของการเดินทางออกจากแอฟริกา เริ่มต้นเมื่อประมาณ 170,000 ปีก่อน จนกระทั่งประสบความสำเร็จเมื่อประมาณ 50,000 ปีก่อน

จากนี้ ก็มาถึง “โจทย์” ของคณะนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นโฟกัสเรื่องของเราวันนี้ คือ อะไรเป็นต้นเหตุทำให้การเดินทางออกจากแอฟริกาของมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ ต้องใช้เวลายาวนานมาก ซึ่งได้ผลสรุปออกมาเป็นรายงานตามต้นเรื่องของเราวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาประมาณ 20,000 ปี ก่อนจะเดินทางออกจากแอฟริกาได้สำเร็จ

ผลการวิจัยใหม่ : 20,000 ปีที่ล้มเหลว...แต่ !

โจทย์ใหญ่ของคณะนักวิทยาศาสตร์ คือ อะไรเกิดขึ้นกับมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ ในช่วงเวลาตั้งแต่ประมาณ 170,000 ปี ถึง 50,000 ปี ก่อนความสำเร็จในการเดินทางออกจากแอฟริกา ?

วิธีการที่คณะนักวิทยาศาสตร์ใช้ คือ รวบรวมและวิเคราะห์ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่และความเคลื่อนไหวของมนุษย์โฮโมเซีเปียนส์ในแอฟริกาจากที่มีอยู่ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูลจาก...และเกี่ยวกับ...2 ประเด็นใหญ่

(1) แหล่งโบราณสถานที่ปักหลักพำนักของมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ในแอฟริกา

(2) สภาพแวดล้อมของแต่ละแหล่งโบราณสถาน และของแอฟริกาโดยภาพรวมทั้งหมด

จากข้อมูลทั้งหมด คณะทั้งวิทยาศาสตร์ใช้วิธีการทางด้านนิเวศวิทยา เพื่อเจาะศึกษาหากลุ่มของมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ที่ปักหลักอยู่กับบางแหล่งที่อยู่ จนกระทั่งมีหลักฐานเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของกลุ่มต่างๆ ที่ปรากฏต่อสภาพแวดล้อม เกิดเป็น “กลุ่มเฉพาะ” ของมนุษย์ในช่วงเวลาที่ศึกษา ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญของการดำรงชีวิต เช่น

*เทคโนโลยีโบราณเป็นเครื่องมือในการใช้ชีวิต ทั้งการอยู่อาศัย การดำรงชีวิต การหาแหล่งอาหารและการต่อสู้ เช่น เครื่องมือเป็นอาวุธในการล่าสัตว์ ในการสร้างที่อยู่อาศัยในการใช้ชีวิตประจำวัน และการต่อสู้ป้องกันตนเองและผู้บุกรุก

*สภาพภูมิอากาศของแต่ละแหล่งและโดยภาพรวมในแอฟริกา ซึ่งมีผลต่อการปักหลักเป็นชุมชน และการอพยพเคลื่อนย้ายกลุ่มไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่ เช่น ปริมาณของ ฝน อุณหภูมิของอากาศ ความอุดมสมบูรณ์หรือไม่ของแหล่งอาหาร

จากข้อมูลทั้งหมด คณะนักวิทยาศาสตร์ได้ผลการศึกษา สรุปเป็นสองส่วนที่ “ไม่ใช่” และที่ “ใช่” !

ส่วนที่ไม่ใช่ มี 2 สิ่งถูกชี้ออกมา คือ

(1) เทคโนโลยี พบว่า มิใช่ปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในการเดินทางออกจากแอฟริกา

(2) การผสมข้ามเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณที่เคย “คิด” กันว่า มีความสำคัญต่อการแผ่ขยายของมนุษยชาติ และความสำเร็จในการเดินทางออกจากแอฟริกา แต่ผลการวิจัยศึกษา จากซากโครงกระดูกของมนุษย์โบราณทั่วโลก ไม่พบหลักฐานสนับสนุนความคิดดังกล่าว

สำหรับส่วนที่ “ใช่” คณะนักวิทยาศาสตร์พบว่า เกิดจากปัจจัยใหม่ คือ สภาพของสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศ และสภาพของลมฟ้าอากาศ คือ ลม ฝน อุณหภูมิ โดยพบว่า

*ในช่วงระหว่างประมาณ 120,000 ปี ถึงประมาณ 70,000 ปี มีหลักฐานความเคลื่อนไหวขยายถิ่นที่อยู่ของมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ไม่มากและชัดเจนนัก

*การเปลี่ยนแปลงใหญ่ ปรากฏว่า เกิดขึ้นมากในช่วงระหว่าง 70,000 ถึง 50,000 ปีก่อน โดยมนุษย์ในช่วงนี้ ได้ขยายพื้นที่การเคลื่อนไหวในแอฟริกาครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในแถบพื้นที่มีความหลากหลายของสภาพภูมิประเทศและระบบนิเวศ คือ ตั้งแต่แถบพื้นที่เป็นป่า ไปสู่แถบพื้นที่เป็นทะเลทราย

*ถึงแม้การแผ่ขยายพื้นที่ในช่วงระหว่าง 70,000 ถึง 50,000 ปีก่อนของมนุษย์โฮโมเซเปียนส์จะยังไม่สามารถ “ทะลุ” ออกจากแอฟริกาได้ แต่ประสบการณ์และความพยายามจากช่วงเวลาประมาณ 20,000 ปีนี้ เป็นปัจจัยสำคัญทำให้มนุษย์โฮโมเซเปียนส์ สามารถเดินทางออกจากแอฟริกาได้สำเร็จเมื่อประมาณ 50,000 ปีก่อน โดยพื้นที่แรก คือ เอเชีย แล้วจึงเป็นยุโรป

แล้วทวีปอเมริกาและออสเตรเลียล่ะ ?

จากหลักฐานเครื่องมือเครื่องใช้และโครงกระดูกที่ค้นพบ คาดว่า หลังความสำเร็จในการเดินทางออกจากแอฟริกา มนุษย์โฮโมเซเปียนส์ก็เดินทางจากเอเชียเข้าสู่ออสเตรเลียได้อย่างค่อนข้างเร็ว คือ ประมาณ 50,000 ปีมาแล้วนั่นเอง

แต่การเดินทางจากยูเรเซียเข้าสู่ทวีปอเมริกา เกิดขึ้นช้ากว่าและไม่ชัดเจน ทั้งมิติเวลา (เมื่อไร ?) , วิธีการและเส้นทาง โดยคาดว่า เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 23,000 ปีก่อน อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องต้นกำเนิดและการแผ่ขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์โฮโมเซเปียนส์ ถึงแม้ “ปริศนาสุดท้าย” คือ การเดินทางออกจากยูเรเซียเข้าสู่อเมริกา ยังเป็นประเด็นให้แกะรอยศึกษากันต่อ...

แต่ที่ชัดเจน ไม่เป็นปริศนาให้ต้องถกกัน คือ มนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะมีผิวขาว-ผิวเหลือง-ผิวดำ ล้วนเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกัน จาก “แม่อีฟ” คนหรือกลุ่มเดียวกันในแอฟริกา...

แล้วจะ “รบกัน” “ต่อสู้กัน” อย่างเอาเป็นเอาตายไปทำไมกัน !

ท่านผู้อ่านล่ะครับ คิดอย่างไร ?

อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS

“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech

แท็กที่เกี่ยวข้อง

Thai PBS Sci & Tech Thai PBS Sci And Tech Scienceวิทยาศาสตร์ ทันโลก ทันชีวิตชัยวัฒน์ คุประตกุลHomo Sapiensโฮโมเซเปียนส์
 รศ. ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล

ผู้เขียน:  รศ. ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล

นักวิทยาศาสตร์ และนักอนาคตศาสตร์ เจ้าของคอลัมน์ ​"วิทยาศาสตร์ ทันโลก ทันชีวิต"

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด