แม้ภาพจำของ NASA และศูนย์อวกาศเคนเนดีจะเป็นพื้นที่ทันสมัย มีเทคโนโลยีจรวดอันล้ำหน้า และเต็มไปด้วยพื้นที่อาคารที่หนาแน่น แต่ตามความเป็นจริงแล้ว พื้นที่บริเวณฐานปล่อยจรวดของ NASA และกองทัพอวกาศส่วนมากเป็นพื้นที่รกร้าง และพื้นที่ส่วนใหญ่ในเกาะเมอร์ริตต์ก็เป็นพื้นที่ป่า ดังนั้นพื้นที่ของฐานยิงจรวดสำคัญของสหรัฐฯ จึงเป็นเหมือนสวรรค์ของสัตว์ป่าเลยก็ว่าได้
ศูนย์อวกาศเคนเนดีและฐานปล่อยจรวดในพื้นที่แหลมคะนาเวอรัลของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเกาะเมอร์ริตต์ (Merritt Island) ซึ่งเกาะแห่งนี้อยู่ห่างไกลจากที่พักอาศัยของประชาชนและเป็นพื้นที่หวงห้ามตั้งแต่สมัยสงครามเย็น ห่างไกลจากกิจกรรมรบกวนของมนุษย์ มันจึงเป็นสวรรค์ของเหล่าสัตว์ป่าไปโดยปริยาย
พื้นที่ของศูนย์อวกาศเคนเนดีนั้นอยู่ภายในเขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่า Merritt Island National Wildlife Refuge พื้นที่สงวนนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เขตกันชนเพื่อความปลอดภัยจากการปล่อยจรวดเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์ป่าหลากหลายชนิด รวมถึงสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างนกอินทรีหัวขาว เต่าทะเล และเสือแพนเทอร์ฟลอริดาอีกด้วย
ความพิเศษของเกาะเมอร์ริตต์คือการเป็นหนึ่งในระบบนิเวศที่ซับซ้อนที่สุดของสหรัฐอเมริกา ด้วยภูมิประเทศที่ประกอบด้วยป่าชายเลน ทุ่งหญ้าน้ำเค็ม ป่าทึบ และแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ ทำให้สัตว์ป่ามากกว่า 1,500 ชนิดสามารถดำรงชีวิตอยู่ในบริเวณเดียวกันได้อย่างสมดุล และเนื่องจากเป็นเขตห้ามอยู่อาศัยของมนุษย์โดยเด็ดขาด พื้นที่นี้จึงกลายเป็นสวรรค์ของเหล่าสัตว์ป่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปชมศูนย์อวกาศเคนเนดีก็มักจะได้พบเห็นจระเข้มานอนอาบแดดอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ของเส้นทางในศูนย์อวกาศเคนเนดี รวมถึงสัตว์ป่าต่าง ๆ น้อยใหญ่
แม้จะปราศจากการรบกวนเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่การส่งจรวดขึ้นสู่อวกาศแต่ละครั้งได้สร้างมลพิษ ทั้งทางแสง ทางเสียง และอากาศสู่สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับสิ่งมีชีวิต สัตว์ป่าในบริเวณนี้อาจเกิดความเครียดจนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการย้ายถิ่น ผสมพันธุ์ การล่าอาหาร และแม้กระทั่งพฤติกรรมการหลบภัย ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลต่อความสมดุลของระบบนิเวศในระยะยาว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่การดำเนินงานเทคโนโลยีอวกาศในทุกวันนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ต้องมีความถี่ในการส่งจรวดมากยิ่งขึ้นไปด้วย NASA จึงร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติประจำเกาะเมอร์ริตต์เพื่อศึกษาผลกระทบของการปล่อยจรวดอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ทั้งในเชิงเสียง แสง และไอเสีย โดยมีการวางจุดวัดเสียงตามแนวพื้นที่ปล่อยจรวด การติดตามความเคลื่อนไหวของนกและสัตว์เลื้อยคลาน รวมถึงการวิเคราะห์คุณภาพอากาศและน้ำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งผลการศึกษาจะถูกนำไปปรับใช้กับแนวทางการวางแผนภารกิจในอนาคต เพื่อให้กิจกรรมอวกาศสามารถอยู่ร่วมกับระบบนิเวศท้องถิ่นได้โดยที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่าน้อยที่สุด
การที่ NASA และกองทัพอวกาศสหรัฐฯ ร่วมกันหาจุดที่อยู่ร่วมกับสัตว์ป่าตามธรรมชาติผ่านการพยายามศึกษา สังเกต นับเป็นความพยายามในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการสำรวจอวกาศ ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีอวกาศไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงข้ามกับธรรมชาติ และทั้งสองสามารถอยู่ร่วมกันได้
เรียบเรียงโดย จิรสิน อัศวกุล
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech