ใครชอบดูหนังญี่ปุ่นย้อนยุค คงรู้ดีว่าคนญี่ปุ่นภาคภูมิใจใน “ดาบ” ของพวกเขามากขนาดไหน และความทุ่มเทที่พวกเขามอบให้แก่การรังสรรค์มันก็กลายเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกหลงใหลไม่น้อยไปกว่ากัน
สารคดี Tamahagane: Miracle Steel of Japanese Swords พาเราไปชมเบื้องหลังงานศาสตร์และศิลป์อันเป็นเอกลักษณ์นี้ โดยบอกเล่าเรื่องราวน่าทึ่งของ "ทามาฮากาเนะ" เหล็กกล้าพิเศษที่ถือเป็นหัวใจของการสร้างดาบญี่ปุ่นอันเลื่องชื่อ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากกระบวนการโบราณ "ทาทาระ" ที่ใช้เวลายาวนานถึงสามวันสามคืน เผยให้เห็นจิตวิญญาณแบบญี่ปุ่นที่ทั้งมุ่งมั่น ประณีตพิถีพิถัน และไม่ยอมแพ้
“ทามาฮากาเนะ" มาจากคำว่า "ทามะ" ที่แปลว่า "ล้ำค่า" หรือ "อัญมณี" และ "ฮากาเนะ" ที่แปลว่า "เหล็กกล้า" ซึ่งเมื่อความกันแล้วก็บ่งบอกถึงคุณค่าและความพิเศษของมันได้เป็นอย่างดี มันคือ "เหล็กกล้าล้ำค่า" ที่เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างดาบญี่ปุ่น กริช มีด และเครื่องมืออื่น ๆ อีกมากมาย คุณสมบัติเด่นของทามาฮากาเนะคือความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น การต้านทานสนิม และความสามารถในการรักษาความคม ซึ่งล้วนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับดาบที่ "ไม่หัก ไม่งอ และคมกริบ"

ในอดีต ญี่ปุ่นเริ่มผลิตเหล็กจากสินแร่เหล็ก แต่เมื่อต่อมาพบว่ามีสินแร่เหล็กน้อย ก็เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเหล็กโดยใช้ "ทรายเหล็ก" เป็นวัตถุดิบหลักมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 6 นี่เองคือจุดเริ่มต้นของกระบวนการทาทาระซึ่งได้รับการพัฒนามานานกว่า 1,400 ปี วิธีการทาทาระสมัยใหม่ยังคงใช้วิธีดั้งเดิมที่ควบคุมความร้อนสูงด้วยมือในเตาเผาขนาดเล็ก โดยจะเผาทรายเหล็กที่อุณหภูมิประมาณ 1,400 องศาเซลเซียสในสถานะกึ่งของแข็ง (ซึ่งแตกต่างจากการผลิตเหล็กทั่วไปที่ต้องทำให้เหล็กหลอมเหลวทั้งหมด) จุดเด่นของวิธีนี้คือสิ่งเจือปนจะกลายเป็นของเหลวและถูกขจัดออกไป ทำให้ได้เหล็กที่มีความบริสุทธิ์สูง
ความพิเศษสุด ๆ อีกอย่างหนึ่งในกระบวนการทาทาระก็คือ วงจรการผลิตหนึ่งรอบใช้เวลาสามวันสามคืนและต้องรื้อเตาเผาทิ้งทุกครั้งเมื่อจบรอบ ไม่เผื่อโอกาสสำหรับความผิดพลาดใด ๆ เลย เพราะเหล็กที่ล้มเหลวไปแล้วนั้นไม่สามารถแก้ไขได้ "มูราเกะ" หรือหัวหน้าผู้ควบคุม จึงต้องใช้ประสาทสัมผัสอันเฉียบคมในการประเมินสถานการณ์ภายในเตาจากเสียงและจากการสังเกตเปลวไฟ จากนั้นจึงปรับปริมาณและตำแหน่งของการเติมทรายเหล็กให้พอดี (เพราะมองจากภายนอกย่อมไม่สามารถรู้สภาพภายในของเหล็กได้ และจะไม่รู้ด้วยว่าการผลิตสำเร็จหรือไม่จนกว่าจะรื้อผนังเตาออก)


สารคดีเรื่องนี้บอกเล่าถึงความกดดันและความไม่แน่นอนในกระบวนการนี้ให้เราสัมผัสได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี ค.ศ. 2022 ซึ่งมีการผลิตเพียงครั้งเดียวและต้องเผชิญกับปัญหามากมายจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราจะต้องลุ้นไปกับทีมงานในแต่ละช่วงเวลาอันสำคัญของการผลิตท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ความทุ่มเทแรงกายแรงใจในทุกขั้นตอนนี้ สะท้อนชัดถึงจิตวิญญาณของช่างฝีมือญี่ปุ่นผู้พร้อมจะท้าทายขีดจำกัดและอุปสรรคอยู่ตลอดเวลา
ด้วยความที่ทามาฮากาเนะผลิตได้ยากและได้ปริมาณจำกัดมาก ทำให้มันเป็นวัสดุที่มีมูลค่าสูงลิบ เหล็กที่ผลิตด้วยวิธีทาทาระนี้มีความอ่อนตัวสูง และเมื่อผ่านกระบวนการ "ตีพับ" (การตี ให้ความร้อน และพับซ้ำ ๆ) โดยช่างตีดาบ ก็จะช่วยให้โครงสร้างผลึกภายในของเหล็กมีความสม่ำเสมอมากขึ้น ทำให้ดาบมีความยืดหยุ่นสูงขึ้นพร้อมกับสร้างลวดลาย "จิฮาดะ" ที่สวยงามบนพื้นผิวของใบมีด จึงถือว่าเป็นวัตถุดิบที่สมบูรณ์แบบสำหรับการสร้างดาบอย่างแท้จริง
จากเหตุผลทั้งหมดที่ว่ามา ทามาฮากาเนะจึงเป็นความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น แม้ว่าในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองจะมีการสั่งห้ามใช้ดาบ ขณะเดียวกันเทคโนโลยีการผลิตแบบดั้งเดิมก็เริ่มถูกมองว่าไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการผลิตเหล็กแบบอุตสาหกรรม จนทำให้ทามาฮากาเนะเสี่ยงต่อการสูญหายไป แต่ด้วยความพยายามของสมาคมช่างตีดาบญี่ปุ่นและบริษัทฮิตาชิเมทัลในปี ค.ศ. 1977 เทคโนโลยีนี้ก็ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง
ปัจจุบัน ทามาฮากาเนะได้รับการคุ้มครองในฐานะทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญ เพื่อรักษาหัตถกรรมโบราณของการสร้างดาบญี่ปุ่นให้คงอยู่ต่อไป การผลิตทามาฮากาเนะที่ต้องอาศัยแรงงานคนหลายวันไม่ใช่เพียงแค่กระบวนการทางโลหะวิทยา แต่เป็นการสืบสานเรื่องราวของความพยายามและการแสวงหาความสมบูรณ์แบบที่ไม่เคยสิ้นสุด นี่คือสิ่งที่ทำให้ดาบญี่ปุ่นและเหล็กปาฏิหาริย์นี้ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณช่างฝีมืออันเป็นอมตะ

▶ ติดตามสารคดี Tamahagane เหล็กมหัศจรรย์ของดาบญี่ปุ่น ทำความรู้จัก "ทามาฮากาเนะ" เป็นเหล็กกล้าคุณภาพดีจนถูกเรียกว่า "เหล็กมหัศจรรย์" มีกระบวนการผลิตยากมาก ปัจจุบันผลิตเพียงที่เดียวในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทามาฮากาเนะทำให้ดาบญี่ปุ่นเป็นที่ยอมรับของนักสะสมทั่วโลก เพราะนอกจากคุณภาพที่ดีเยี่ยม ส่วนในเนื้อเหล็กยังมีลวดลายที่งดงามตามธรรมชาติ
รับชมได้ทาง www.VIPA.me หรือ VIPA Application