บัตรประชาชนกลายเป็นประเด็นสืบเนื่องจากข่าวดังของวัดพระบาทน้ำพุ เมื่ออดีตพระอลงกตมีการสวมเลขบัตรประชาชน สวมตัวตนผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วเพื่อดำเนินในเรื่องสิทธิต่าง ๆ มากมาย
Thai PBS รวบรวมประเด็นที่ควรรู้ของ “บัตรประชาชน” สิทธิในเลข 13 หลักนี้มีอะไรบ้าง ? แล้วเราจะป้องกันการถูกสวมสิทธิ์อย่างไร ? และหากกระทำผิดเกี่ยวกับบัตรประชาชนจะมีโทษอย่างไร ?
สิทธิในบัตรประชาชนมีอะไรบ้าง ?
บัตรประชาชนถือเป็นเอกสารสำคัญ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีอาชญากรรมที่มุ่งนำข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเลข 13 หลักนี้มาใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง การปลอมแปลงหลากหลายรูปแบบ การหลอกล่อหรือใช้งานข้อมูลนี้มีหลายวิธี เนื่องจากบัตรประชาชนถือเป็นเอกสารราชการสำคัญที่ใช้เป็นหลักฐานในการแสดงตน พิสูจน์และยืนยันตัวบุคคลในการติดต่อราชการ รวมถึงการขอรับบริการหรือสวัสดิการต่าง ๆ สิทธิที่ผูกอยู่กับบัตรใบนี้จึงมีมากมาย ต่อไปนี้คือบางสิทธิในบัตรประชาชนที่ถูกนำมาใช้ในการก่ออาชญากรรมได้
1. สิทธิการทำธุรกรรมทางการเงิน การทำธุรกรรมทางการเงินตั้งแต่การเปิดบัญชีธนาคาร การทำบัตรเครดิต การกู้ยืมเงิน มีการใช้หมายเลข 13 หลักเพื่อประกอบการดำเนินการทั้งสิ้น ทั้งนี้ กรณีอาชญากรรมจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องจากการนำบัตรประชาชนไปใช้เปิดบัญชีธนาคาร และใช้บัญชีนั้นก่อเหตุร้ายต่าง ๆ ทั้งการหลอกลวงซื้อ - ขายของออนไลน์ รวมถึงการฟอกเงิน นอกจากนี้ยังมีกรณีสวมบัตรประชาชนออกซิมใหม่เบอร์เดิมเพื่อเข้าถึงแอพการเงินต่าง ๆ ของเจ้าของจริงอีกด้วย
2. สิทธิขั้นพื้นฐานและสวัสดิการจากรัฐ เนื่องจากบัตรประชาชนเป็นสิ่งที่ใช้ยืนยันตัวตน การมีเลข 13 หลักนี้จึงผูกกับสิทธิที่ได้รับสิทธิและสวัสดิการที่รัฐจัดหาให้ เช่น สิทธิบัตรทอง ประกันสังคม สิทธิเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวมถึงสิทธิในโครงการรัฐอื่น ๆ เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น การติดต่อขอไฟฟ้า ประปา การจดทะเบียนสมรส รวมถึงการออกหนังสือเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ อีกด้วย
3. สิทธิในการอยู่อาศัยในราชอาณาจักรไทย มักเกิดในกลุ่มที่เข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย ทั้งจากการก่ออาชญากรรมหรือแรงงานต่างด้าว เนื่องจากบัตรประชาชนเป็นเอกสารราชการที่ยืนยันการเป็นคนไทย ทำให้สามารถอยู่อาศัยในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ โดยการทุจริตจะมีลักษณะของการสวมเลขบัตรประชาชน มักสวมสิทธิ์บุคคลที่สูญหาย หรือเสียชีวิตแล้วไม่ได้มีการจำหน่ายออก นอกจากการอยู่อาศัยพำนักในประเทศไทยแล้ว ยังได้สิทธิทางกฎหมายอื่น ๆ จนไปถึงการก่ออาชญากรรมตามมาอีกด้วย
ป้องกันอย่างไร ? ไม่ให้บัตรประชาชนถูกสวมสิทธิ์
มิจฉาชีพที่ก่อเหตุสวมสิทธิ์บัตรประชาชนนั้น มีการทำงานกันเป็นขบวนการ ทั้งผู้ก่อเหตุว่าจ้าง เจ้าหน้าที่รัฐจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในขบวนการมีตั้งแต่การซื้อขายข้อมูลบัตรประชาชน การจัดทำบัตรสวมสิทธิ์ ตลอดจนนายหน้าหาผู้ที่ต้องการทำบัตร ทั้งนี้ การตรวจสอบเพื่อป้องกันการก่อเหตุเหล่านี้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลความผิดปกติที่เกิดขึ้น ทั้งการแจ้งย้ายที่อยู่บ่อยครั้งจนถึงการลงทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นผิดปกติ แต่ในส่วนของประชาชนทั่วไปก็มีส่วนที่สามารถปฏิบัติเพื่อป้องกันได้เช่นกัน
1. เก็บรักษาบัตรประชาชนอย่างระมัดระวัง บัตรประชาชนถือเป็นเอกสารสำคัญที่นำไปสู่การก่ออาชญากรรมมากมาย และมีผลตามมาถึงเจ้าของบัตรได้ จึงต้องเก็บรักษาอย่างระมัดระวัง หากสูญหายต้องเร่งดำเนินการทำบัตรใหม่ภายใน 60 วัน โดยไม่ต้องนำใบแจ้งความไปดำเนินการแล้ว อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่าบัตรประชาชนถูกขโมยหรือนำไปใช้ในทางที่ผิด ยังคงสามารถแจ้งความเพื่อช่วยเป็นหลักฐานสำคัญไว้ป้องกันตัวได้
2. เซ็นสำเนาบัตรประชาชนอย่างถูกต้องปลอดภัย เพราะสำเนาบัตรประชาชนอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ควรทำการเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องตามขั้นตอนให้ครบถ้วน ดังนี้ ถ่ายสำเนาเฉพาะหน้าบัตรเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องถ่ายหลังบัตร เพื่อลดความเสี่ยงเลขหลังบัตรถูกนำไปใช้เป็นข้อมูล ขีดเส้นทแยง 2 เส้นให้ชัดเจน แต่ไม่ให้ทับข้อมูลที่จำเป็นเพื่อป้องกันการใช้ซ้ำหรือดัดแปลง ระบุวัตถุประสงค์การใช้สำเนานั้นอย่างชัดเจน “ใช้เพื่อ...” พร้อมทำเครื่องหมาย # หรือ “…” ปิดหัวท้าย ป้องกันการต่อเติมข้อความ และเขียน “รับรองสำเนาถูกต้อง” พร้อมลายเซ็นกำกับ และลงวันที่เขียนรับรองสำเนาให้ชัดเจน
3. หลีกเลี่ยงการส่งรูปบัตรประชาชน หรือการถูกถ่ายรูปบัตรประชาชน เนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความสำคัญ และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของหน่วยงานที่ส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคลทุกครั้ง ทั้งนี้ สถานบันเทิงบางแห่งมีการถ่ายรูปบัตรของผู้ใช้บริการไว้ ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้
4. ร้องเรียกเมื่อพบว่าถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางมิชอบ ต่อเนื่องจากข้อปฏิบัติในการป้องกัน หากข้อมูลบัตรถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด สามรถแจ้งความเพื่อเป็นหลักฐาน กรณีนี้ถือเป็นการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดยมิชอบ หรือกฎหมาย PDPA สามารถร้องเรียนกับทาง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ได้ที่ ☎️ 02-111-8800 หรือ https://complaint.pdpc.or.th/
สวมสิทธิ์บัตรประชาชนผิดกฎหมายอะไรบ้าง ?
การกระทำผิดเกี่ยวกับบัตรประชาชนนั้นผิดกฎหมายหลายฉบับด้วยกัน อย่างไรก็ตาม มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าฐานความผิดของการกระทำนี้ค่อยข้างน้อย และยังไม่มีบทลงโทษในส่วนของผู้ที่เกี่ยวข้องหลักอย่าง นายหน้าจัดทำบัตรปลอม ทำให้ขบวนการทำบัตรประชาชนสวมสิทธิ์ยังคงมีอยู่
ความผิดทางกฎหมายเกี่ยวกับบัตรประชาชนมีตัวอย่างดังนี้
1. การแจ้งทำบัตรประชาชนเท็จ มีความผิดตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน มาตรา 14 ผู้ใดยื่นคำขอมีบัตรโดยมิได้มีสัญชาติไทย ด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือ ปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 – 5 ปีหรือปรับ 20,000 – 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. การสวมสิทธิ์บัตรประชาชน นำบัตรของผู้อื่นมาสวมสิทธิ์ใช้แทน นำบัตรมาแสดงตัวแทน มีความผิดตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน มาตรา 15 ผู้ใดนำบัตรหรือใบรับหรือใบแทนใบรับของผู้อื่นไปใช้แสดงว่าตนเป็นเจ้าของบัตรหรือใบรับหรือใบแทนใบรับ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน – 5 ปี และปรับ 10,000 – 100,000 บาท
3. การนำข้อมูลบัตรประชาชนไปหาประโยชน์แบบผิดกฎหมาย มีความผิดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีโทษทางอาญาตามมาตรา 79 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องและมีความผิดหากมีการกระทำต่อเนื่องจากบัตรประชาชนอยู่อีก เช่น ความผิดในของส่วนของเจ้าหน้าที่ราชการที่เกี่ยวข้อง ที่มีความผิดถึงขั้นให้ออกจากราชการ อย่างไรก็ตาม ความผิดในฐานดังกล่าวเหล่านี้ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่ผู้กระทำผิดได้รับ จึงยังคงมีขบวนการสวมสิทธิ์บัตรประชาชนอยู่ ภาครัฐรวมถึงประชาชนจึงมีส่วนสำคัญในการป้องกันภัยร้ายที่อาจเกิดขึ้น
อ้างอิง
- กรมการปกครอง
- คู่มือปฏิบัติงานในการดำเนินการกรณีทุจริตทางทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน โดย ส่วนป้องกันและปราบปรามการทุจริตการทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน (สปท.) สำนักงานบริหารการทะเบียน (สน.บท.)