แม้ปัญหา “สารหนู” ปนเปื้อนในแม่น้ำกก จ.เชียงราย จะผ่านมาหลายเดือนแล้ว แต่สถานการณ์ก็ยังไม่คลี่คลายส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ทำไม ? ปัญหานี้จึงแก้ไขยาก Thai PBS และ Thai PBS Sci & Tech หาคำตอบมาให้แล้ว
สำหรับเรื่องนี้ ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ได้ให้ความรู้ผ่านเฟซบุ๊ก Sonthi Kotchawat 5 ข้อว่า
1. การเจรจากับประเทศเมียนมาไม่เป็นผล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการเจรจากับฝั่งเมียนมา เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 68 มีความเห็นของรัฐบาลเมียนมาคือ
1.1 เมียนมามองว่าการปนเปื้อนสารหนูอาจมาจากธรรมชาติ สารหนูเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่แล้วในดินตามธรรมชาติ การชะล้างหน้าดินจากน้ำฝนทั้งในพื้นที่เมียนมาหรือจากพื้นที่ของไทยที่เป็นพื้นที่ป่าเขามีฝนตกหนักอยู่แล้ว และมีกิจกรรมเปิดหน้าดินเพื่อทำการเกษตรของทั้งสองประเทศ ก็อาจเป็นสาเหตที่ทำให้สารหนูชะลงแหล่งน้ำ
1.2 พื้นที่ที่เป็นเขตรัฐฉานไม่มีกิจกรรมการทำเหมืองแร่ที่ขึ้นทะเบียนและได้รับการอนุญาตจากรัฐบาล และตามข้อกำหนดการทำเหมืองแร่ที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ต้องมีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ (Environmental Impact Assessment : EIA)และโครงการเหมืองแร่ต้องอยู่ห่างจากริมแม่น้ำไม่น้อยกว่า 300 เมตร อีกทั้งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อนุรักษ์ไม่สามารถทำเหมืองแร่ได้ โดยเมียนมาได้มีการประสานหารือกับผู้แทนรัฐฉานเพื่อให้มีการกำกับดูแลประเด็นดังกล่าวแล้ว
1.3 ผลการตรวจสอบข้อมูลคุณภาพน้ำผิวดินในฝั่งเมียนมา เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 จำนวน 3 จุด สารหนูมีค่าไม่เกินมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินแห่งชาติเมียนมาซึ่งกำหนดไว้ที่ 0.050 มิลลิกรัม/ลิตร โดยจุดที่ 1 บริเวณต้นแม่น้ำกก สารหนูมีค่า 0.026 มก./ล. จุดที่ 2 มีค่า 0.012 มก./ล. และจุดที่ 3 ใกล้ชายแดนไทยมีค่า 0.013 มก./ล. และจะมีการตรวจสอบเป็นระยะต่อเนื่องต่อไป (มาตรฐานสารหนูในแหล่งน้ำผิวดินของประเทศไทยกำหนดไว้ต้องไม่เกิน 0.01 มก./ล.)
1.4 เมียนมาเน้นว่าไม่มีการอนุญาตให้ทำเหมืองในพื้นที่แม่น้ำกก ซึ่งหากมีการทำเหมืองตามที่ไทยกล่าวอ้างจริง จะเป็นเหมืองที่ผิดกฎหมายและไม่ได้รับอนุญาตจากเมียนมา ทำให้เมียนมาไม่สามารถกำกับดูแลการประกอบการและควบคุมได้ เมียนมาจึงมีข้อเสนอว่าให้ฝ่ายไทยควบคุมการส่งออกสารเคมีที่ใช้ในการทำเหมืองจากไทยไปเมียนมา เพื่อให้เหมืองผิดกฎหมายเหล่านี้ไม่สามารถประกอบการได้ ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาการทำเหมือง
2. ประเทศไทยไม่สามารถนำภาพถ่ายดาวเทียมของไทยไปใช้ประกอบการเจรจาได้ เนื่องจากพื้นที่ที่คาดว่าเป็นเหมืองแร่ดังกล่าวอยู่ในเขตเมียนมา การแสดงภาพถ่ายดาวเทียมโดยหน่วยงานรัฐของไทยเป็นผู้ดำเนินการ อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเป็นประเด็นความมั่นคงของเมียนมา อาจถือว่าไทยได้ทำการการสอดแนมหรือจารกรรมข้อมูลของเมียนมาได้
3. ประเทศไทยคงต้องใช้เวทีอาเซียนในการเจรจาโดยใช้เวทีความตกลงอาเซียน ว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน (ASEAN AGREEMENT ON DISASTER MANAGEMENT AND EMERGENCY RESPONSE) ในการหารือ
4.อาเซียนยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับมลพิษข้ามแดนเหมือนในสหภาพยุโรปที่มี EU transboundary pollution law ทำให้สามารถแก้ไขปัญหามลพิษข้ามประเทศได้ ดังนั้นจึงควรผลักดันให้เกิดกฎหมายมลพิษข้ามแดนระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนต่อไป
5. ขณะที่ยังไม่สามารถจัดการหรือระงับการปล่อย “สารหนู” จากต้นทางได้ จึงมีความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องหามาตรการป้องกันหรือลดหรือบรรเทา ให้สารหนูปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมของจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงให้น้อยที่สุด เช่น การจัดทำฝายชะลอน้ำชั่วคราวที่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศน้อยที่สุดหลาย ๆ จุด และนำตะกอนที่ปนเปื้อนสารหนูไปจัดการอย่างปลอดภัย เพื่อไม่ให้สารหนูปนเปื้อนแพร่กระจายมากยิ่งขึ้น
📌อ่าน : อันตรายของ "สารหนู" ในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก จ.เชียงราย
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech