ทีมนักวิจัยออสเตรเลียและสหราชอาณาจักรเผยแพร่การศึกษาในวารสารเจอร์นัล ออฟ ดิ อเมริกัน เมดิคอล แอสโซซิเอชัน (JAMA) ระบุว่าผู้ป่วยมะเร็งปอดทั่วโลกถึง 1 ใน 5 รายเป็นผู้ไม่สูบบุหรี่ โดยมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ ซึ่งหมายถึงผู้ที่สูบบุหรี่น้อยกว่า 100 มวนตลอดชีวิต คิดเป็นร้อยละ 15-20 ของผู้ป่วยมะเร็งปอดทั้งหมดทั่วโลก
รายงานสรุปผลการศึกษาบนเว็บไซต์ศูนย์สื่อวิทยาศาสตร์ออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 68 ระบุว่าผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ไม่สูบบุหรี่มักมีอัตราการกลายพันธุ์ของยีนที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งในระดับสูงกว่า ซึ่งดูเหมือนจะส่งผลต่อประสิทธิภาพแนวทางการรักษาที่แตกต่างกันสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้
ทีมวิจัยซึ่งรวมถึงเบนจามิน เจ. โซโลมอน นักวิจัยจากศูนย์มะเร็งปีเตอร์ แมคคัลลัม และมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น พบว่ามะเร็งส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้เป็นชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา (adenocarcinoma) ซึ่งเป็นมะเร็งที่เริ่มต้นในเซลล์ต่อม หลังจากวิเคราะห์งานวิจัยนานาชาติ 92 ฉบับเกี่ยวกับมะเร็งปอดในผู้ไม่สูบบุหรี่
จากการวิจัยก่อนหน้านี้ ผู้เขียนระบุว่าผู้ไม่สูบบุหรี่ที่มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเป็นมะเร็งปอด มักเป็นกลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง สัมผัสกับสารกัมมันตรังสี มลพิษทางอากาศ และแร่ใยหิน รวมถึงผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวสายตรง เช่น พ่อแม่หรือพี่น้องแท้ ๆ เป็นมะเร็งปอดมาก่อน
อาการ “มะเร็งปอด”
ทั่วไปแล้ว มะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อโรคลุกลามแล้วมักมีอาการแสดง ที่สามารถสังเกตได้ดังนี้
- ไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะปนเลือด
- หายใจลำบาก หอบเหนื่อย
- หายใจสั้น หายใจมีเสียงหวีด
- เจ็บหน้าอกตลอดเวลา
- เสียงแหบ เสียงเปลี่ยน
- ปอดติดเชื้อบ่อย
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
มะเร็งปอดไม่ใช่โรคติดต่อ และไม่สามารถส่งผ่านไปยังคนอื่น ๆ ได้ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจไม่เกี่ยวเนื่องกับมะเร็งได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้ที่มีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว โดยหากมีอาการที่เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอด แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยเพื่อเป็นการยืนยันด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การเอกซเรย์ปอด (X-ray), การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan), การส่องกล้องลอดลมปอด (Bronchoscopy), การตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ (Biopsy), การตรวจคัดกรองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ (Low-Dose CT chest), การส่องกล้องในช่องกลางทรวงอก (Mediastinoscopy) เป็นต้น
“มะเร็งปอด” กับ “วัณโรคปอด” ต่างกันอย่างไร ?
วัณโรคเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอาการมักจะค่อยเป็นค่อยไป ส่วนมะเร็งปอดเกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซล์ปอด ซึ่งต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ ทำให้อาการมีความคล้ายคลึงกันได้ เช่น ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด หรือเบื่ออาหาร น้ำหนักลดได้ ทำให้การแยกโรคจากอาการได้ยาก จึงต้องอาศัยการตรวจเพิ่มเติม เช่น เก็บเสมหะเพาะเชื้อ หรือส่องกล้องหลอดลมเพื่อเอาชิ้นเนื้อในปอด
แนวทางป้องกัน “มะเร็งปอด”
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่จากผู้อื่น
- ตรวจสุขภาพปอดเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
- สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน หากทำงานในสถานที่ที่มีฝุ่นหรือสารเคมี
- รักษาระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ด้วยอาหารดี มีการพักผ่อนและออกกำลังกาย
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : jamanetwork, Xinhua, โรงพยาบาลศิครินทร์, โรงพยาบาลไทยนครินทร์, โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์แนชั่นแนล อ้อมน้อย
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech