คนไทยมักจะได้ยินชื่อหน่วยงานระหว่างประเทศอย่าง UNESCO หรือ UNICEF กันบ่อย ๆ ซึ่งทั้ง 2 องค์กรนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของ ‘สหประชาชาติ’

สหประชาชาติ (United Nations หรือ UN) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1945 เพื่อรักษาสันติภาพระหว่างประเทศ พร้อมส่งเสริมการพัฒนาหลากหลายด้านในภูมิภาคต่าง ๆ หลังโลกบอบช้ำจากสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ปัจจุบัน สหประชาชาติมีประเทศสมาชิกทั้งสิ้น 193 ประเทศ โดยซูดานใต้เป็นสมาชิกล่าสุดในปี 2011 ส่วนประเทศไทยนั้นได้เข้าเป็นสมาชิกในลำดับที่ 55 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1946
เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปีสหประชาชาติ Thai PBS จึงขอพาทุกคนย้อนรอยการก่อร่างสร้างสหประชาชาติ และบทบาทขององค์การระหว่างประเทศแห่งนี้ในไทย ผ่านบทความนี้กันครับ

บทเรียนและความล้มเหลวที่ปูทางสู่ ‘สหประชาชาติ’
สหประชาชาติไม่ใช่หน่วยงานนานาชาติแห่งแรกที่โลกรู้จัก ย้อนกลับไปในปี 1865 เกิดองค์การระหว่างประเทศ ‘เฉพาะด้าน’ ที่สร้างเครือข่ายผู้คนในสายงานเดียวกันอย่างสหภาพโทรเลขระหว่างประเทศ (International Telegraph Union) 9 ปีถัดมา กิจการไปรษณีย์เติบโตขึ้น จึงก่อตั้งสหภาพไปรษณีย์สากล (Universal Postal Union) ตามมา แม้ปัจจุบันจะเข้าสู่ยุคดิจิทัล แต่ทั้ง 2 หน่วยงานนี้ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญ โดยสหภาพโทรเลขระหว่างประเทศได้เปลี่ยนชื่อเป็นสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union)
ต่อมาในปี 1899 มีการจัดการประชุมสันติภาพระหว่างประเทศ (International Peace Conference) ที่กรุงเฮก เพื่อหาหนทางในการธำรงสันติภาพ ป้องกันสงคราม และกำหนดกฎการปะทะ การประชุมครั้งนี้นำไปสู่อนุสัญญาที่นำไปสู่การก่อตั้งศาลอนุญาโตตุลาการถาวร (Permanent Court of Arbitration) ซึ่งมุ่งระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐ รวมถึงองค์การระหว่างประเทศและภาคีเอกชน เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลงเมื่อปี 1919 ก็มีการก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติ (League of Nations) เพื่อสร้างความมั่นคงและความผาสุกระหว่างประเทศให้ยั่งยืน

เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงทศวรรษที่ 1930s หลายประเทศแสดงท่าทีปฏิปักษ์ต่อกัน ยังไม่นับว่าผู้นำสายฟาสต์ซิสต์ขึ้นสู่อำนาจและรังแกข่มเหงประเทศอื่น ส่วน ‘พี่ใหญ่’ อย่างฝรั่งเศสและบริเตนนั้นก็พยายามประนีประนอมกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมนี แทนที่จะใช้กลไกขององค์การสันนิบาตชาติ สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงปะทุขึ้น และองค์การสันนิบาตชาติก็ล้มเหลวในการสานพลังประเทศสมาชิกต่าง ๆ ไปโดยปริยาย อย่างไรก็ดี ขณะที่การสู้รบกำลังดำเนิน ก็เกิดความพยายามที่จะสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศอีกครั้ง
ทั้งกฎบัตรแอตแลนติก (Atlantic Charter) คำประกาศสหประชาชาติ (Declaration by United Nations) รวมถึงการประชุมที่มอสโก เตหะราน และยัลตา นับเป็น ‘การเตรียมการขั้นต้น’ เพื่อจัดตั้งสหประชาชาติ แต่ทุกอย่างเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นในการประชุมซานฟรานซิสโก (San Francisco Conference) ระหว่างวันที่ 25-26 เมษายน 1945 สาระสำคัญไม่ได้มีแค่เรื่องการก่อตั้งสหประชาชาติและการร่างกฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter) เท่านั้น แต่ยังพูดคุยถึงการก่อตั้งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) ด้วย
ทุกวันนี้ สหประชาชาติมีองค์กร โครงการ และกองทุนที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 38 แห่ง/รายการ เช่น ธนาคารโลก (World Bank) องค์การอนามัยโลก (WHO) ยูเนสโก (UNESCO) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environment) และยูเอ็น วีเมน (UN Women) ซึ่งทำงานหรือร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด

ภารกิจของ ‘สหประชาชาติ’ ในระดับโลกและไทย
สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศยังคงเป็นปณิธานหลักของสหประชาชาติไม่เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน สหประชาชาติเองก็ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผลักดันความเท่าเทียม แก้ไขปัญหาภาวะโลกรวน และปกป้องสิทธิมนุษยชน ดังนั้น สหประชาชาติจึงได้จัดทำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals หรือ SDGs) ซึ่งวางแนวทางที่แต่ละประเทศจะต้องดำเนินการร่วมกันระหว่างปี 2016-2030 โดย SDGs นั้น ประกอบด้วยเป้าหมายทั้งสิ้น 17 ข้อ ได้แก่
1) ยุติความยากจนทุกรูปแบบในทุกที่
2) ยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหารและยกระดับโภชนาการ และส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน
3) สร้างหลักประกันการมีสุขภาวะที่ดี และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกช่วงวัย
4) สร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต
5) บรรลุความเสมอภาคระหว่างเพศ และเพิ่มบทบาทของสตรีและเด็กหญิงทุกคน
6) สร้างหลักประกันเรื่องน้ำและการสุขาภิบาล ให้มีการจัดการอย่างยั่งยืนและมีสภาพพร้อมใช้ สำหรับทุกคน
7) สร้างหลักประกันว่าทุกคนเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ในราคาที่สามารถซื้อหาได้ เชื่อถือได้ และยั่งยืน
8) ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน การจ้างงานเต็มที่และ มีผลิตภาพ และการมีงานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน
9) สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม ที่ครอบคลุมและยั่งยืน และส่งเสริมนวัตกรรม
10) ลดความไม่เสมอภาคภายในและระหว่างประเทศ
11) ทำให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ มีความครอบคลุม ปลอดภัย ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงและยั่งยืน
12) สร้างหลักประกันให้มีแบบแผนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
13) ปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น
14) อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเลและทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
15) ปกป้อง ฟื้นฟู และสนับสนุนการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน จัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน ต่อสู้การกลายสภาพเป็นทะเลทราย หยุดการเสื่อมโทรมของที่ดินและฟื้นสภาพกลับมาใหม่ และหยุดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
16) ส่งเสริมสังคมที่สงบสุขและครอบคลุม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้ทุกคนเข้าถึงความยุติธรรม และสร้างสถาบันที่มีประสิทธิผล รับผิดชอบ และครอบคลุมในทุกระดับ
17) เสริมความเข้มแข็งให้แก่กลไกการดำเนินงานและฟื้นฟูสภาพหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน

นอกจากเป้าหมาย SDGs แล้ว สหประชาชาติและประเทศไทยยังตั้งหมุดหมายระดับท้องถิ่นร่วมกันไว้ 6 ประการโดยมุ่งยกระดับสังคมและคุณภาพชีวิตของคนไทย มีรายละเอียดคร่าว ๆ ดังนี้
1) ประกาศเจตนารมณ์เพื่อประเทศไทยยั่งยืนทั้ง 77 จังหวัด วางแผนพัฒนาชุมชนและรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกัน เช่น การคัดแยกขยะ 14 ล้านครัวเรือน ซึ่งอาจลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้ประมาณ 550,000 ตันต่อปี และการจำหน่ายคาร์บอนเครดิตให้แก่ธนาคารเอกชนของไทย
2) คุ้มครองพื้นที่ป่าไม้ 18,000 ตร.กม. พร้อมส่งเสริมการปลูกป่าชุมชนในเกษตรกรรายย่อยกว่า 65,000 รายที่อาศัยอยู่ในเขตที่พบความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร้างคาร์บอนเครดิต 1 ล้านตัน นำรายได้คืนสู่ชุมชน และหยุดยั้งการลักลอบการค้าสัตว์ป่า
3) จัดการสุขภาพในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง 10 ล้านคน ทำความร่วมมือกับชุมชน ภาคีเครือข่ายด้านสาธารณสุข และองค์กรการศึกษาเพื่อสาธิตระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิที่ครอบคลุมทั้งเวชปฏิบัติ การวินิจฉัยโรค กับการดูแลรักษาผู้ป่วย
4) ส่งเสริมทักษะดิจิทัลและการเรียนรู้ พัฒนานวัตกรรมการศึกษาให้เข้าถึงคนทุกกลุ่มทุกวัย – รวมถึงกลุ่มเด็กอพยพบริเวณชายแดน – ซึ่งคาดว่าจะเข้าถึงคนได้ 800,000 คน
5) ช่วยเหลือเยาวชนผ่าน ‘Teen Club’ บริการปรึกษาสุขภาพทางเพศออนไลน์ ตั้งเป้าให้เยาวชนไทยกลุ่มเป้าหมาย 8 ล้านคนเข้าถึงบริการนี้ในปี 2030 อีกทั้งผนึก
6) เปิดพื้นที่ฝึกอบรมทักษะเฉพาะทาง ให้เยาวชนกลุ่มเปราะบางและผู้พิการก้าวสู่ตลาดแรงงานได้มากขึ้น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพบริการจัดหางานและการแนะแนวอาชีพของภาครัฐตามที่ตลาดแรงงานปัจจุบันต้องการ

ส่วนประเทศไทยเองนั้นได้ชื่อว่าเป็น ‘เจนีวาแห่งเอเชีย’ เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรสหประชาชาติและหน่วยงานระหว่างประเทศต่าง ๆ รวมถึงเป็นประเทศเจ้าบ้านสำนักงานของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีคนไทยหลายคนที่มีบทบาทสำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับสหประชาชาติ อาทิ
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเป็นประธานคณะกรรมาธิการว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรม และความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ 21 (CCPCJ) ระหว่างเดือนธันวาคม 2011-ธันวามคม 2012 และพระองค์ยังทรงรับการทูลเกล้าฯ ตำแหน่งทูตสันถวไมตรี ด้านหลักนิติธรรมสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2017

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงเป็นประธานสมัชชาสหประชาชาติ (UNGA) สมัยประชุมที่ 11 ระหว่างปี 1956-1957 และประธานการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล (UNCLOS) ครั้งที่ 1 เมื่อปี 1958

สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ทำหน้าที่ประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (HRC) วาระปี 2010-2011

นายแพทย์สำลี เปลี่ยนบางช้าง ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วาระปี 2004-2009
ศาสตราจารย์กิตติคุณ วิทิต มันตาภรณ์ ศาสตราภิชานประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติในหลายหน่วยงาน

การสร้างสันติภาพ ความมั่นคง และความร่วมมือระหว่างประเทศนั้นเป็นเรื่องยาก แต่การรักษาสิ่งเหล่านี้กลับยากและท้าทายยิ่งกว่าครับ ในแง่หนึ่ง สหประชาชาติจึงสะท้อนถึงความพยายามของนานาประเทศในการ ‘ก้าวไปด้วยกันข้างหน้า’ ขณะเดียวกัน ไทยก็ได้แสดงศักยภาพของประเทศ พร้อมเป็นกำลังส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนภารกิจหลากมิติของสหประชาชาติ ทั้งในภูมิภาคเองและระดับโลก
รอบรู้ทุกเรื่อง ‘ประวัติศาสตร์ไทย’ ไปกับบทความจาก Thai PBS On This Day
- ‘ขบวนการเสรีไทย’ ในสายตาชาติมหาอำนาจช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
- ครบรอบ 119 ปี แห่งอิสรภาพ ปลดแอก ‘ทาส’ ให้เป็น ‘ไท’
- วันนี้ในอดีต : พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย 28 มิถุนายน 2475
เครดิตรูปปก: UN Photo/Albert Fox, UN Photo/Ryan Brown และ AFP
อ้างอิง
- พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายตำแหน่งทูตสันถวไมตรี ด้านหลักนิติธรรมสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน)
- เกี่ยวกับสหประชาชาติในประเทศไทย, สหประชาชาติในประเทศไทย
- เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนใน ประเทศไทย, สหประชาชาติในประเทศไทย
- ไทยกับสหประชาชาติ, กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ
- Failures of the League of Nations in the 1930s, BBC
- History of the United Nations, United Nations
- Preparatory Years: UN Charter History, United Nations
เล่าอดีต บันทึกปัจจุบัน รอบรู้ทุกวัน กับ Thai PBS On This Day: www.thaipbs.or.th/OnThisDay
