กำลังเป็นที่สนใจในวงกว้าง กรณีข้อพิพาทพื้นที่ชายแดนระหว่าง “ไทย-กัมพูชา” จนถูกเชื่อมโยงไปถึง “ศาลโลก” ซึ่งหลายคนคุ้นเคยกับคำนี้ตามหน้าข่าวสาร แท้ที่จริง ศาลโลกทำหน้าที่อะไร และข้อพิพาทลักษณะแบบไหน ที่สามารถเข้าสู่กระบวนการของศาลโลกได้ มีเรื่องน่ารู้มาบอกกัน
“ศาลโลก” คืออะไร ?
ผู้คนคุ้นเคยคำว่า “ศาลโลก” ทว่าอันที่จริง ศาลโลกมีชื่อเป็นทางการว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice หรือมีตัวย่อคือ ICJ) ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยกฎบัตรสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ. 2489 เป็นองค์กรหลักภายใต้องค์การสหประชาชาติ ตั้งอยู่ที่ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
หน้าที่ของ “ศาลโลก” คืออะไร ?
หน้าที่ของศาลโลก คือ วินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างรัฐ หรือประเทศ 2 ประเทศขึ้นไป ทั้งนี้ การวินิจฉัยข้อพิพาทต่าง ๆ ต้องเป็นประเทศที่ยอมรับอำนาจของศาลโลก
นอกจากนี้ศาลโลกยังมีอำนาจวินิจฉัยเพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นปัญหาในทางกฎหมายระหว่างประเทศ ใน 3 กรณีหลัก คือ
- ตามที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ร้องขอ
- ตามที่องค์กรอื่น ๆ ภายใต้สหประชาชาติ หรือองค์การชำนัญพิเศษแห่งองค์การสหประชาชาติร้องขอ โดยได้รับการอนุมัติจากสมัชชาใหญ่
- ตามที่ได้มีการให้อำนาจวินิจฉัยปัญหาไว้โดยสนธิสัญญา
กรณีพิพาทแบบไหนที่สามารถใช้ “ศาลโลก”
นอกจากต้องเป็นข้อพิพาทระหว่างประเทศ 2 ประเทศขึ้นไป ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก มีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีความ หรือคู่ความ อาทิ ข้อพิพาทเรื่องดินแดนอาณาเขต การละเมิดอำนาจอธิปไตย ปัญหาสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ หรือแม้แต่กรณีที่เกี่ยวข้องกับเอกชนที่รัฐเป็นผู้ฟ้องแทน
ทั้งนี้ ประเทศที่เกี่ยวข้องจะต้องยินยอมรับอำนาจศาลโลกให้เป็นผู้พิจารณาตัดสินก่อน ศาลโลกจึงจะมีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีนั้นได้
คนทำงานของ “ศาลโลก” ประกอบด้วยใคร ?
ศาลโลกประกอบไปด้วย “ผู้พิพากษา” จำนวน 15 คน โดยอยู่ในตำแหน่งคราวละ 9 ปี มีการจัดเลือกตั้งทุก ๆ 3 ปี เพื่อสรรหาผู้พิพากษาเข้ามาใหม่ครั้งละ 5 คน การพิจารณาพิพากษาคดีแต่ละครั้ง ต้องมีผู้พิพากษา 9 คนนั่งเป็นองค์คณะ ทั้งนี้ศาลจะนั่งพิจารณา ณ สถานที่อื่น นอกจากสำนักงานศาลที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ก็ได้
ปัจจุบัน ประธานศาลโลก เป็นชาวญี่ปุ่นชื่อว่า Yuji Iwasawa ส่วนภาษาทางการที่ใช้ในศาลโลก มี 2 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส
หลักการเลือกผู้พิพากษา “ศาลโลก” เป็นอย่างไร ?
ระยะเวลาที่คัดเลือกผู้พิพากษาเข้าดำรงตำแหน่ง จะทำกันทุก ๆ 3 ปี เพราะต้องการให้ศาลโลกมีผู้พิพากษาครบ 15 คนอย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นต้องอยู่ในตำแหน่งครบ 9 ปีพร้อมกันทั้งหมด เนื่องจากจะทำให้งานของศาลโลกเกิดความไม่ต่อเนื่องขึ้นได้
ดังนั้น ในทุก ๆ 3 ปี จึงมีการคัดเลือกผู้พิพากษาจำนวน 1 ใน 3 ของจำนวนผู้พิพากษาทั้งหมด และหากมีผู้พิพากษาถึงแก่กรรมหรือลาออก จะต้องมีการคัดเลือกผู้พิพากษาเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน และเป็นการดำรงตำแหน่งในระยะเวลาที่เหลือเท่านั้น
ส่วนผู้ที่จะเข้ามารับการคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาศาลโลก ต้องเป็นผู้มีศีลธรรมอันดี และมีความรู้ความสามารถ ตามคุณสมบัติของผู้พิพากษา ทั้งนี้ รัฐที่เสนอชื่อผู้สมัครเข้าดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลโลก จะต้องทำการหาเสียงสนับสนุนจากรัฐสมาชิกอื่น ๆ ขององค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ช่วยสนับสนุนผู้สมัครแข่งขันของตน เพื่อชิงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลโลก
โดยผู้ที่จะได้รับตำแหน่งผู้พิพากษาศาลโลกนั้น ต้องได้รับเสียงสนับสนุน ทั้งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และในสมัชชาแห่งสหประชาชาติ ส่วนการพิจารณาผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้พิพากษาศาลโลก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และสมัชชาแห่งสหประชาชาติ จะทำการคัดเลือกผู้ที่มีความเหมาะสม จากการลงมติเสียงข้างมาก โดยมีเงื่อนไขและข้อปฏิบัติเพิ่มเติม ดังนี้
- ผู้พิพากษาต้องมาจากรัฐที่ไม่ซ้ำกันเกิน 1 คน
- กระจายจำนวนผู้พิพากษาไปตามสัดส่วนของอารยธรรม และระบบกฎหมายหลักที่มีอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก
- ผู้พิพากษาศาลโลก ต้องไม่เป็นข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เสนอชื่อ หรือรัฐใด ๆ และไม่มีฐานะเป็นผู้แทนของรัฐใด ๆ
- ผู้พิพากษาศาลโลก ต้องไม่ทำอาชีพอื่นใด หรือรับตำแหน่งใด ๆ ทั้งสิ้น
- ผู้ที่เข้าดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลโลก จะได้รับหลักประกันความเป็นอิสระ โดยจะไม่สามารถถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้พิพากษาศาลโลกคนอื่น ๆ ทั้งหมด ได้ลงเสียงอย่างเป็นเอกฉันท์ ให้ผู้พิพากษารายนั้น ๆ พ้นจากตำแหน่งเท่านั้น
ลักษณะการพิจารณาข้อพิพาทของ “ศาลโลก”
การนำคดีความหรือข้อสงสัยต่าง ๆ ให้ศาลโลกพิจารณา เกิดขึ้นได้ 2 กรณี คือ
- รัฐคู่ความทำความตกลงกัน ให้นำกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างกัน ขึ้นสู่การพิจารณาตัดสินโดยศาลโลก
- รัฐภาคีเป็นสมาชิกของสนธิสัญญา อนุสัญญา หรือความตกลงต่าง ๆ ซึ่งมีข้อบัญญัติไว้ว่า หากรัฐภาคีมีข้อสงสัยหรือข้อพิพาทระหว่างกัน ต้องให้ศาลโลกเป็นผู้วินิจฉัย ตีความ หรือตัดสิน
ทั้งนี้ ศาลจะมีอำนาจพิจารณาคดีได้ต่อเมื่อคู่ความยินยอม โดยอาจแสดงเจตนาการยอมรับได้หลายวิธี อาทิ การทำคำประกาศ (Declaration) ยอมรับอำนาจศาล ซึ่งอาจทำไว้ล่วงหน้า หรือภายหลังจากที่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว หรืออาจทำสนธิสัญญายอมรับอำนาจศาล ไว้เป็นการเฉพาะก็ได้
กรณีรัฐที่ตกเป็นจำเลย และไม่เคยยอมรับอำนาจศาลไว้ก่อน จำเลยย่อมมีสิทธิปฏิเสธอำนาจศาลได้ และขอให้ศาลพิจารณายกฟ้องคำร้องของโจทก์ได้ เรียกกระบวนการพิจารณาในชั้นนี้ว่า กระบวนการพิจารณาในชั้นตัดฟ้อง
แต่หากจำเลยยอมรับอำนาจศาล หรือหากปรากฏว่าศาลมีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีโดยเหตุอื่น กระบวนการพิจารณาคดีจะเริ่มจากชั้นลายลักษณ์อักษร ต่อจากนั้นจะเป็นกระบวนการในชั้นวาจา
ทั้งนี้ ในระหว่างพิจารณาคดี คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือรัฐที่มีส่วนได้ส่วนเสีย สามารถร้องขอต่อศาลให้กำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวได้ เพื่อให้ศาลสั่งคุ้มครองผลประโยชน์ของตน
นอกจากนี้ หากปรากฏว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะฟ้องร้องคดีต่อ หรือคู่ความตกลงกันที่จะยุติข้อพิพาท ศาลสามารถสั่งยุติคดีได้เช่นกัน
สำหรับการพิจารณาคำตัดสินของศาลโลก อาศัยเสียงข้างมากของผู้พิพากษาในคดีนั้น ๆ ซึ่งผู้พิพากษาที่เป็นเสียงข้างน้อย อาจทำความเห็นแย้ง ในมุมกลับกัน ผู้พิพากษาที่ร่วมออกเสียงกับเสียงข้างมาก สามารถทำความเห็นส่วนตน แยกออกมาได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เมื่อศาลโลกมีคำตัดสินแล้ว คำพิพากษาย่อมเป็นที่สุด ไม่มีอุทธรณ์ ฎีกา และมีผลผูกพันทางกฏหมายต่อคู่ความในคดีให้ต้องปฏิบัติตาม
แต่หากคู่ความฝ่ายที่แพ้คดี พบหลักฐานใหม่ที่ศาลไม่เคยล่วงรู้มาก่อน และเป็นหลักฐานสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา สามารถยื่นคำขอให้ทำการแก้ไขคำพิพากษา โดยให้มีการพิจารณาพยานหลักฐานใหม่ได้ ภายในกำหนดระยะเวลา 10 ปี
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ “ศาลโลก” ถือเป็นกลไกหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อระงับข้อพิพาทต่าง ๆ ทั้งนี้ การเจรจาเพื่อหา “ทางออก” ของปัญหา นำมาซึ่งความสงบเรียบร้อย และถือเป็นการหลีกเลี่ยงความรุนแรงในท้ายที่สุด
อ้างอิง
- ศาลโลก (World Court) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ประสิทธิ์ เอกบุตร
- Current Members / www.icj-cij.org/current-members