คำว่า “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ดูจะเป็นคำที่เราเคยคุ้นในงานทางการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวพระราชสำนัก ประกาศทางราชการ หรือการกล่าวถึงประวัติการทำงานของบุคคลที่มีความดีความชอบที่สำคัญในระดับประเทศ แต่อาจไม่ง่ายนักที่จะอธิบายหรือเข้าใจความหมายเกี่ยวกับ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ซึ่งเก็บซ่อนคุณค่าและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ไว้ในเครื่องประดับอันทรงเกียรตินี้
Thai PBS ขอพาไปทำความรู้จัก “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” กันให้มากขึ้น ทั้งที่มา ความหมาย ความสำคัญของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลต่าง ๆ รวมทั้งเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจเคียงคู่ประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน
ความหมายและที่มา “เครื่องราชอิสริยาภรณ์”
“เครื่องราชอิสริยาภรณ์” คือเครื่องหมายแห่งเกียรติยศและบำเหน็จความชอบ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเพื่อพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และผู้ที่ทำคุณงามความดีและทำประโยชน์ต่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งที่เป็นบุรุษและสตรี โดยอาจเป็นรูปแบบของเครื่องประดับยศ รวมถึงเหรียญที่ระลึกในโอกาสต่าง ๆ ด้วย
ในยุคแรกเริ่ม “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” เกิดขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยทรงเรียกว่า “เครื่องราชอิสริยยศ” ด้วยทรงมีพระวิสัยทัศน์กว้างไกล พร้อมที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงจากลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก ซึ่งเริ่มเข้ามาคุกคามประเทศตะวันออกมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปรับเปลี่ยนธรรมเนียมแบบแผนหลาย ๆ อย่างในสยามให้เหมาะแก่กาลสมัย สอดคล้องกับความเป็นสากลนิยม ตามแบบชาติตะวันตกที่เป็นมหาอำนาจอยู่ ณ ขณะนั้น
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงสร้าง “เครื่องราชอิสริยยศ” ขึ้นอีกหลายตระกูล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกจากคำว่า “เครื่องราชอิสริยยศ” มาเป็นคำว่า “เครื่องราชอิสริยาภรณ์”
ตระกูลของ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์”
“เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ถูกแบ่งเป็นตระกูลต่าง ๆ ตามความหมายและจุดประสงค์ในการพระราชทาน ดังนี้
1. เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นมงคลยิ่งราชมิตราภรณ์ (ร.ม.ภ.)
- พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี 2505 เพื่อพระราชทานแก่ประมุขของประเทศต่าง ๆ ซึ่งมีสัมพันธไมตรีกับประเทศเป็นการเฉพาะแทนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลอื่น ๆ

2. เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ม.จ.ก.)
- พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี 2425 เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพะบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีที่ได้สถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานีมาเป็นเวลาครบ 100 ปี
- เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งสืบเนื่องโดยตรงในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 และผู้ซึ่งพระบรมวงศานุวงศ์ดังกล่าวได้เสกสมรสด้วย

3. เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ (น.ร.)
- พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างดารานพรัตนขึ้นเมื่อปี 2394 ต่อมาในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างดวงตรามหานพรัตนสำหรับห้อยสายสะพายและแหวนนวรัตน
- เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานแก่พระราชวงศ์ฝ่ายหน้าและฝ่ายใน ตลอดจนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นพุทธมามกะ

4. เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า
- พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงสถาปนาขึ้นเมื่อปี 2416 ด้วยทรงเห็นว่าพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทรงอยู่ในราชสมบัติยั่งยืนนานมาเป็นเวลา 90 ปี ก็ด้วยความจงรักภักดีและการปฏิบัติราชการของพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการทั้งปวง ทั้งมีประราชประสงค์จะทรงชุบเลี้ยงบรรดาทายาทของบุคคลเหล่ายี้ ให้มีความเจริญรุ่งเรืองในราชการสืบเนื่องต่อไป
- รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทายาทของผู้ได้รับพระราชทานสามารถรับพระราชทานตราสืบตะกูลของบิดาได้ โดยพระราชทานนามพระองค์ “จุลจอมเกล้า” เป็นนามของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้ และให้แพรแถบสีชมพูอันเป็นสีของวันพระราชสมภพคือวันอังคาร พร้อมทรงคิดคำขวัญจารึกบนดวงตราว่า “เราจะบำรุงตระกูลวงศ์ให้เจริญ”
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า มีการแบ่งย่อยตามผู้ได้รับ ซึ่งจะมีลักษณะต่างกันเล็กน้อย คือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าสำหรับฝ่ายหน้า (บุรุษ) และเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าสำหรับฝ่ายใน (สตรี)

5. เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี 2461 สำหรับพระราชทานให้แก่ผู้ซึ่งทำความชอบพิเศษเป็นประโยชน์ยิ่งแก่ราชการทหาร ไม่ว่ายามสงบหรือยามสงคราม ทั้งยังมีพระราชพิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี ประกอบด้วยพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา (ดื่มน้ำสาบาน) โดยผู้ได้รับพระราชทานทั้งเก่าและใหม่จะได้ร่วมในพระราชพิธีเฉพาะพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

6. เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก
- พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี 2404 แต่มิได้กำหนดให้มีสายสะพาย ต่อมาในปี 2412 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงกำหนดขั้นและสายสะพายประกอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไว้ 8 ขั้น

7. เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย
- พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี 2412 สำหรับพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการประชาชน และชาวต่างประเทศ
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ มีศักดิ์รองจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกในชั้นที่เท่ากัน เช่น ชั้นที่ 3 ต้องประดับดวงตราช้างเผือกก่อนแล้วจึงต่อด้วยดวงตรามงกุฎไทย

8. เหรียญราชอิสริยาภรณ์เป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี 2534 เพื่อพระราชทานแก่ผู้ที่กระทำความดีความชอบอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศ ศาสนา และประชาชน โดยแบ่งเป็น 7 ชั้น

9. เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ
- พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี 2530 มีชั้นเดียวสำหรับพระราชทานผู้มีอุปการคุณแก่กิจการลูกเสือ ซึ่งได้รับพระราชทาน เหรียญลูกเสือชั้นที่ 1 มาแล้ว และให้การช่วยเหลือกิจการลูกเสือต่อเนื่องมา 5 ปี
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นสิริยิ่งรามกีรติ ลูกเสือสดุดีชั้นพิเศษ มีลักษณะเป็นรูปวงกลมรี กลางดวงมีตราหน้าเสือประกอบวชิระเงิน ด้านหลังมีตราคณะลูกเสือโลก เบื้องบนมีพระมหามงกุฎ ใช้ห้อยพับแพรแถบคล้องคอ

10. เหรียญราชอิสริยาภรณ์
แบ่งออกได้ตามวัตถุประสงค์การพระราชทานได้ 4 แบบ คือ
- เหรียญราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในราชการสงคราม หรือพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในความกล้าหาญ
- เหรียญราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในราชการแผ่นดิน
- เหรียญราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในพระองค์พระมหากษัตริย์
- เหรียญราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นที่ระลึก
ขอบคุณข้อมูล-ภาพจาก : กองเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.)
เกร็ดความรู้ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ในประวัติศาสตร์
ย้อนไปในยุคจักรวรรดินิยมตะวันตก ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศแถบตะวันออกมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระวิสัยทัศน์ในการปรับเปลี่ยนธรรมเนียมแบบแผนต่าง ๆ ของสยาม ให้เป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ เพื่อไม่ให้สยามต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาติมหาอำนาจในขณะนั้น
พระองค์ทรงมีพระราชดำริในการสร้างเครื่องประดับเพื่อแสดงยศศักดิ์และบ่งบอกถึงฐานันดร หรือตำแหน่งหน้าที่ของผู้ที่ประดับ โดยใช้แบบอย่างจากแนวปฏิบัติทางยุโรปดั้งเดิม ซึ่งเป็นการที่พระสันตะปาปาแห่งกรุงโรมได้มอบเครื่องหมายรูปกางเขนให้แก่อัศวินนักรบ ผู้มีความกล้าหาญในสงครามครูเสด เพื่อแสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเรียกแต่ละคณะว่า “Order”
ภายหลังสงคราม ได้มีการนำเครื่องหมายกางเขนมาตกแต่งให้มีรูปแบบแตกต่างกันไปตามชั้นยศ เพื่อแสดงตำแหน่ง ความกล้าหาญ หรือบำเหน็จความชอบ จนกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ที่พระมหากษัตริย์เป็นผู้พระราชทาน โดยใช้คำว่า “Order” แทนความหมายถึง “ตระกูล” ของเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ทั้งนี้ มีการบันทึกไว้ว่า “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ที่เป็นตระกูลแรกและมีอายุเก่าแก่ที่สุดในยุโรป คือ “The Order of Aviz” ของโปรตุเกส ซึ่งมีมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 17 ก่อนที่อาณาจักรสุโขทัยจะเริ่มก่อตั้งขึ้น
ในฝั่งเอเชีย สยามนับเป็นประเทศแรกที่มีการใช้ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ตามแบบอย่างสากล โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชดำริในการสร้างเครื่องหมายจากแบบสิ่งของที่เป็นเครื่องหมายแทนพระองค์ อาทิ ลวดลายของตราพระราชลัญจกรไอราพต ซึ่งเป็นตราประทับบนหนังสือราชการ รวมถึงสิ่งที่เป็นมงคลดั้งเดิมของไทย เช่น นพรัตน์ หรือ พลอย 9 ชนิด โดยนำมาประยุกต์ให้เข้ากับตราประดับเสื้อเพื่อแสดงเกียรติยศ และทรงบัญญัติคำว่า “ดารา” (ชาวตะวันตกเรียกว่า Star) ขึ้นมาใช้เรียกส่วนประกอบของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย ตั้งแต่ชั้นที่ 2 เป็นต้นไป จนถึงชั้นสายสะพาย
นอกจากนี้ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 “เครื่องราชอิสริยยศ” โดยมากจะสร้างขึ้นสำหรับพระราชทานแก่พระราชวงศ์ ส่วน “เครื่องสำคัญยศ” จะมีจำนวนไม่มากเท่า แต่ถือเป็นต้นเค้าของ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ในปัจจุบัน อาทิ “ดารานพรัตน์” เป็นต้นเค้าของ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ (น.ร.)” และ “ดาราช้างเผือก” เป็นต้นเค้าของ “เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก”
เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
- Thai PBS Podcast รายการมองอดีต EP. 33 : วิวัฒนาการเครื่องราชอิสริยาภรณ์
- Thai PBS Podcast รายการมองอดีต EP. 34 : เครื่องราชอิสริยาภรณ์ในรัชกาลที่ 4
- Thai PBS Podcast รายการมองอดีต EP. 35 : เครื่องราชอิสริยาภรณ์ในรัชกาลที่ 5
- เล่าอดีต บันทึกปัจจุบัน รอบรู้ทุกวัน กับ Thai PBS On This Day | www.thaipbs.or.th/OnThisDay