“ผู้คนควรได้รับรู้ถึงความโหดร้ายของการถูกล่วงละเมิดทางเพศ และผลกระทบที่มันมี ต่อชีวิตคนคนหนึ่ง"
คำกล่าวด้านบนคือเจตจำนงของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ตัดสินใจเปิดหน้าสู้กับค่านิยมชายเป็นใหญ่ และกฎหมายว่าด้วยการล่วงละเมิดทางเพศที่ถูกแช่แข็งนานกว่า 100 ปี
Thai PBS ชวนคุณเปิด ‘กล่องดำแห่งความลับ’ ของ “ชิโอริ อิโตะ” นักข่าวสาวชาวญี่ปุ่น ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Black Box Diaries ‘หรือเธอคนเดียวที่ผิด’ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของเธอ ในฐานะเหยื่อของความรุนแรงทางเพศ และการต่อสู้บนชั้นศาลในคดีข่มขืน ที่ตัวกฎหมายไม่ได้ให้ความสำคัญกับความยินยอมทางเพศ (Sexual Consent) ด้วยความหวังอันแรงกล้าว่า เรื่องของเธอจะกลายเป็นจุดเปลี่ยน "กฎหมายการล่วงละเมิดทางเพศ" ในญี่ปุ่นได้ในสักวัน
บทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์สารคดี Black Box Diaries และมีการเล่าถึงเหตุการณ์การถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งอาจกระทบกระเทือนจิตใจผู้อ่านได้
เมื่อเธอถูกล่วงละเมิด โดย ‘คนสนิท’ ของอดีตนายกฯ ญี่ปุ่น
ภาพยนตร์สารคดี Black Box Diaries พาเราร่วมเดินทางเคียงข้างไปกับชิโอริ ทั้งในฐานะผู้สังเกตการณ์ และผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ต้องเจอกับเหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศ ในคืนหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ ปี 2015

ชิโอริ อิโตะ (Shiori Ito) ซึ่งในขณะนั้น มีอายุเพียง 25 ปี ยังเป็นนักข่าวสาวที่เพิ่งผ่านพ้นวัย First Jobber มาได้ไม่นาน โลกแห่งการทำงานของเธอยังใหม่และสดใส จนกระทั่งได้ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับโนริยูกิ ยามากูจิ(Noriyuki Yamaguchi) รุ่นพี่ที่มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารของ Washington Bureau Tokyo Broadcasting System สถานีโทรทัศน์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น และเป็นเพื่อนสนิทของ ชินโซ อาเบะ (Shinzo Abe) โดยที่เธอเองก็ไม่คาดคิดว่า จากการนัดปรึกษาเรื่องงานในครั้งนั้น จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปตลอดกาล
“พอไปถึงจุดนัดพบ ฉันก็แปลกใจที่พบว่า นี่เป็นการนัดกินมื้อเย็นกันแค่สองคน ฉันรู้สึกอึดอัด และไม่รู้จะรับมืออย่างไร แล้วจู่ๆ ฉันก็รู้สึกหน้ามืด จึงรีบไปเข้าห้องน้ำ หลังจากนั้นฉันก็จำอะไรไม่ได้เลย”

ชิโอริตื่นขึ้นมาอีกครั้งในห้องพักที่โรงแรม พร้อมอาการเจ็บตรงแถวๆ ท้องน้อย บริเวณหน้าอกมีเลือดออก ยังไม่รวมรอยช้ำที่แขนและบริเวณส่วนอื่นๆ สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนั้น คือการตั้งสติ หาเสื้อผ้า และออกไปจากตรงนี้ให้ได้
“พอเปิดประตู เขาก็คว้าแขนฉัน แล้วบังคับให้นอนลงบนเตียง เขาบอกว่า “ฉันชอบเธอนะ”, “อยากพาไปวอชิงตันจะแย่แล้ว” “เธอสัมภาษณ์ผ่านแล้ว” สำหรับเขา ฉันคงเป็นแค่วัตถุชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง”
นั่นเป็น ‘บางส่วน’ จากคำให้การในชั้นศาลของชิโอริ ที่เปิดให้เราได้เห็นส่วนที่อยู่ลึกที่สุดในจิตใจของเหยื่อความรุนแรงทางเพศ ที่ไม่เคยมีใครได้ยิน
การ ‘ข่มขืนซ้ำ’ ทางสังคม คือสิ่งที่ ‘ผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ’ ต้องเจอ
หลังจากเกิดเหตุการณ์ในคืนนั้น ชิโอริได้ติดต่อไปยังศูนย์ช่วยเหลือผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศในโตเกียว (Tokyo Sexual Assault Relief Center - SARC) เพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการตรวจร่างกายและการดำเนินการทางกฎหมายต่อ แต่กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือนั้นโดยทันที ซึ่งเจ้าหน้าที่ให้เหตุผลกับเธอว่า อยากให้เธอเดินทางมาที่ศูนย์ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงต่างๆ ก่อน ถึงจะเริ่มให้คำปรึกษาได้

“พวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ในศูนย์ช่วยเหลือผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศเพียงแห่งเดียวในโตเกียว ซึ่งมันอยู่ค่อนข้างไกล เกือบจะถึงชายแดนติดกับชิบะ และพวกเขาก็ไม่สามารถเปิดเผยที่อยู่จริงๆ ได้ เขาแค่บอกว่าจะมารับฉันที่สถานีรถไฟแห่งหนึ่ง แต่ฟังจากวิธีการพูดแล้ว ฉันรู้สึกได้เลยว่าพวกเขาไม่เชื่อฉัน สุดท้ายฉันก็เลยไม่ได้ไปตามนัด”
ซึ่งชิโอริมาค้นพบภายหลังว่า ศูนย์ช่วยเหลือผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศแห่งนี้ มีคนทำงานอยู่แค่ 2 คน แถมยังได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐน้อยมาก จึงไม่สามารถ ‘เดินเรื่อง’ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตามที่มันควรจะเป็น
เมื่อพลาดหวังจากศูนย์ช่วยเหลือผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ชิโอริจึงรีบเดินทางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ แน่นอนว่าตำรวจเองก็ไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูดเช่นกัน ชิโอริจึงต้องใช้เวลากว่า 2 สัปดาห์ ในการเทียวไปเทียวมาที่สถานีตำรวจ เพื่อโน้มน้าวให้เจ้าหน้าที่ยอมรับเรื่อง
สิ่งที่ชิโอริต้อง ‘พิสูจน์’ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อ คือการย้อนกลับไปเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอีกครั้ง พร้อมแสดงฉากจำลองการถูกข่มขืนกับตุ๊กตาที่มีขนาดเท่าคนจริง ซึ่งถือเป็นส่วนที่ยากที่สุดสำหรับเธอ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับดูแลคดีของชิโอริก็ถูกเปลี่ยนตัวกะทันหัน โดยเจ้าหน้าที่คนนั้นได้เล่าให้เธอฟังภายหลังว่า คดีของเธอดำเนินการไปจนเกือบสุดทางแล้ว และเขากำลังจะเข้าจับกุมยามากุจิที่สนามบินนาริตะ ก่อนที่จะได้รับคำสั่งจาก ‘ตำรวจชั้นผู้ใหญ่’ ให้ระงับการจับกุมเอาไว้ก่อน
นั่นเป็นครั้งแรกที่ชิโอริยอมรับกับตัวเองได้ว่า เธอรู้สึกสิ้นหวังกับกระบวนการยุติธรรมมากแค่ไหน และนั่นเป็นจุดที่ทำให้เธอตัดสินใจ ‘เปิดหน้าชน’ กับผู้มีอิทธิพล เพื่อรื้อฟื้นคดีอีกครั้ง
เมื่อกฎหมาย "ล่วงละเมิดทางเพศ" ไม่เป็นธรรมต่อเหยื่อ
ชิโอริเปิดเผยเหตุการณ์ทั้งหมดต่อหน้าสื่อมวลชน ในวันที่ 29 พฤษภาคม ปี 2017 เพราะเชื่อว่า นี่เป็นหนทางสุดท้ายแล้ว ที่จะทำให้คดีของเธอได้รับการสอบสวนใหม่อีกครั้ง พร้อมกับยืนยันว่าสิ่งที่เธอเจอ สะท้อนให้เห็น ‘กล่องดำ’ แห่งความคลุมเครือ ในกระบวนยุติธรรมอย่างไรบ้าง
“ตอนแรกตำรวจไม่ยอมรับแจ้งความจากฉัน ในฐานะผู้เสียหาย โดยอ้างว่าตามกฎหมายที่มีอยู่นั้น การสืบคดีทางเพศเป็นเรื่องยาก อีกทั้งยามากุจิ ก็เป็นคนสำคัญ และเป็นหัวหน้าสำนักงานวอชิงตันของทีบีเอส”
ด้วยเหตุผลนี้ ชิโอริจึงทุ่มเทชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ ในฐานะนักข่าว เพื่อตามหาความจริง เพราะเธอไม่มีทางเลือกอื่น เพราะหากจะให้เธอต้องเผชิญหน้ากับตัวเองในฐานะเหยื่อ จิตใจของเธอคงพังย่อยยับ ดังนั้น การทำงานเป็นวิธีป้องกันตัวอย่างเดียวที่เธอมี
“การตกเป็นเหยื่อ ทำให้ฉันรู้ว่าเสียงของเราถูกเพิกเฉยมาโดยตลอด และหัวใจของฉันก็เจ็บปวดเสมอ เมื่อเห็นยามากุจิ ยังคงพูดและมองลงมาจากตำแหน่งผู้มีอำนาจ สรุปแล้ว ‘เสรีภาพในการพูด’ ในประเทศนี้ หมายถึงอะไรกันแน่ แท้จริงแล้วกฎหมายและสื่อ กำลังปกป้องอะไรอยู่”
หลังจากปรากฏตัวต่อสาธารณชนไปไม่นาน ชิโอริก็ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดัน เสียงด่าทอ และคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายจากสังคม บ้างก็หาว่าเธอเป็นโสเภณี เป็นคู่นอนของยามากุจิ ที่เจรจาความสัมพันธ์กันไม่ลงตัว เลยออกมาสาวไส้ให้กากิน บ้างก็หาว่าเธอจงใจใช้เรื่องนี้เป็นแต้มต่อ เพื่อไต่เต้าตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีกว่า ยังไม่รวมผลกระทบทางร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นอีกนานัปการ
วันดีคืนดี ชิโอริจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึก ด้วยความเครียดที่ฝังลึกอยู่ข้างใน แม้ว่าจะรับประทานยานอนหลับ เพื่อกล่อมตัวเองให้หายกังวลก็ไม่ได้ช่วยอะไร และวันร้ายคืนร้าย เธอก็จะต้องเผชิญกับความกลัวและความหวาดระแวง หลังพบว่ามีรถตู้ติดฟิล์มสีดำทึบ มาจอดสังเกตการณ์อยู่ด้านหน้าที่พักของเธอนานหลายชั่วโมง จนเธอต้องตัดสินใจหลบไปพักอาศัยอยู่กับเพื่อนชั่วคราว เพื่อความปลอดภัย
ระหว่างที่คดีล่วงละเมิดทางเพศครั้งประวัติศาสตร์นี้ ยังดำเนินต่อไป ชิโอริได้ตัดสินใจเขียนหนังสือ ชื่อ Black Box : The Memoir That Sparked Japan’s #MeToo Movement และบันทึกวิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเอาไว้ เมื่อตระหนักได้แล้วว่า “อาจจะไม่มีใครช่วยเธอได้จริงๆ”

ทุกอย่างมันชัดเจนค่ะ ว่าตำรวจทำอะไรไม่ได้เลย พวกเขาแค่กวาดทุกอย่างไว้ใต้พรมเท่านั้นเอง
"หลังจากฉันเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป ฉันก็ได้เห็นกระแสตอบรับจากคนในสังคมที่หลากหลายมาก แถมยังเห็นความจริงด้วยว่า แทบไม่มีสำนักข่าวไหนพยายามจะเล่าเรื่องนี้เลย นั่นทำให้ฉันคิดได้ว่า เป็นไงเป็นกัน “เอาล่ะ ฉันจะทำมันเอง ฉันจะเล่าเรื่องนี้เอง” ชิโอริกล่าว
จนกระทั่งวันที่ 23 กันยายน ปี 2017 ชิโอริได้รับโทรศัพท์จากทนาย ว่าคดีอาญาของเธอจะไม่มีการรื้อฟื้น ตามคำตัดสินของคณะกรรมการทบทวนการฟ้องคดี ขณะที่เธอกำลังตรวจสอบและแก้ไขต้นฉบับหนังสือครั้งสุดท้ายกับสำนักพิมพ์อยู่
เมื่อสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม จากเว็บไซต์ CNN World พบว่ากฎหมายอาญาว่าด้วยการข่มขืนในประเทศญี่ปุ่น ที่ถูกบังคับใช้มาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี เป็นกฎหมายที่ครอบคลุมสิทธิของผู้หญิงบางกลุ่ม ซึ่งมีเอาไว้ปกป้องภรรยาที่ตกอยู่ใต้อำนาจของสามีเท่านั้น
โดยระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “การข่มขืนจะพิสูจน์ได้จากความรุนแรงทางกายและการถูกขู่เข็ญ ไม่ใช่จากการไม่ยินยอม”
เป็นอีกครั้งที่ ‘การถูกข่มขืน’ ถูกวัดผลจากความรุนแรงภายนอก ไม่ใช่จาก ‘ความรู้สึก’ ของผู้ถูกกระทำความรุนแรง
‘ความยินยอมทางเพศ’ (Sexual Consent) คืออะไร
ดร.ชเนตตี ทินนาม นักวิชาการด้านเพศภาวะและเพศวิถี อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหนึ่งในผู้ก่อตั้งหลักสูตรการฝึกอบรมสื่อมวลชน เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการสื่อสารด้วยความยินยอมทางเพศ (Workshop for the Media to Promote a Culture of Sexual Consent Communications) อธิบายให้ Thai PBS ฟังว่า Sexual Consent หรือความยินยอมพร้อมใจทางเพศ คือการได้รับการอนุญาตหรือการตกลงเข้าร่วมความสัมพันธ์ทางเพศ ด้วยความสมัครใจ
โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ที่ให้ความยินยอมทั้งสองฝ่าย ต้องมีความสามารถที่จะให้ความยินยอมในการเข้าร่วมกิจกรรมทางเพศนั้นโดยอิสระ ปราศจากการถูกใช้อำนาจบังคับ หรืออยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถให้ความยินยอมได้

“สำหรับครู ความยินยอมทางเพศ หรือ Sexual Consent มันไม่ได้เป็นแค่การที่เราบอกว่า ฉันตกลงปลงใจกับเธอนะ โอเค แค่นี้จบ แต่มันต้องมาจากความสมัครใจที่เป็นอิสระจริงๆ และไม่ได้มีปัจจัยอื่นใดที่มาทำให้เราต้องยอม”
ชเนตตียังกล่าวอีกว่า ความหมายของความยินยอมในเรื่องเพศ มีประเด็นในมิติเชิงวัฒนธรรมสูงมาก เพราะถูกถักทอด้วยค่านิยมเรื่องเพศ ความสัมพันธ์ระหว่างหญิง-ชาย หรือบทบาทตามเพศ ซึ่งต้องวิเคราะห์บริบทของวัฒนธรรมสังคมที่ปลูกฝัง และทำให้มนุษย์คนหนึ่งในวัฒนธรรมนั้น ไม่สามารถที่จะสื่อสารเรื่องนี้ออกไปได้
“ในเรื่องความยินยอมทางเพศ เราจะมองข้ามมิติทางวัฒนธรรมไปไม่ได้เลยค่ะ เพราะมันเป็นการเคารพสิทธิเสรีภาพบนเนื้อตัวร่างกายของมนุษย์นะ
“หลักการที่สำคัญของ ความยินยอมทางเพศ มันจะต้องเป็นการสื่อสารบนความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เท่าเทียม ดังนั้น ถ้าบริบทสังคมหรือวัฒนธรรมนั้นๆ เซ็ต Power Dynamic ที่ไม่เท่าเทียมเอาไว้ มันก็จะต้องมารื้อไอ้กลไกโครงสร้างอันนั้นออกก่อน เพื่อจะสร้างวัฒนธรรมค่านิยมใหม่ขึ้นมา” ชเนตตีกล่าว
ทำไม ‘ความยินยอม’ ถึงไม่สามารถเข้าไปอยู่ในนิยามกฎหมายข่มขืนได้
ชเนตตี ยังวิเคราะห์ให้เราฟังอีกว่า เหตุผลที่ทำให้ความยินยอมทางเพศ ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในกฎหมายได้ อาจเป็นเพราะรากฐานของกฎหมายนั้น พัฒนามาจากการพิสูจน์หลักฐาน โดยตัดความละเอียดอ่อนเชิงวัฒนธรรมออกไป

“เงื่อนไขของกฎหมาย มันต้องผ่านการมีหลักฐาน มีร่องรอย มีการพิสูจน์ ซึ่งต้องใช้หลักฐานแบบเชิงประจักษ์ ยิ่งพอกฎหมายดันไปนิยามคำว่า “ความยินยอม” (Sexual Consent) ให้แคบลง มันยิ่งไปกันใหญ่”
พอนิยามกฎหมายมันแคบ แล้วเราดันไปเน้นในสิ่งที่ต้องพิสูจน์ได้ ต้องมีหลักฐาน มีร่องรอย มีการใช้กำลัง หรือมีการขัดขืน ตัวกฎหมายมันจึงตามไม่ทันความหมายของ Consent (ความยินยอม) ในทางสิทธิมนุษยชน - ชเนตตีกล่าว
เมื่อความหมายของความยินยอมทางเพศ (Sexual Consent) ในกฎหมาย กลายเป็นการนิยามอย่างเป็นรูปธรรม เช่น กำหนดว่าต้องอายุเท่านี้ ถึงจะสามารถให้ความยินยอมได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าอายุต่ำกว่านี้ ต้องให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นคนให้ความยินยอม ซึ่งเงื่อนไขแบบนี้ หรือการรอพิสูจน์หลักฐานอะไรต่างๆ มันทำให้กฎหมายมีความล้าหลังกว่าแนวคิดเรื่องความยินยอมในทางสังคมวัฒนธรรม และทำให้ผู้หญิงถูกตั้งคำถามในลักษณะการกล่าวโทษเหยื่อ (Victim Blaming) หรือการถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นผู้ก่อเหตุ จะนำมาสู่วัฒนธรรมการสงสัยผู้เสียหาย เพราะว่าตัวหลักฐานมันไม่มีความพร้อมให้พิสูจน์
คงไม่แปลกอะไรนักที่วัฒนธรรมความยินยอมทางเพศ จะถูกมองเป็นเรื่องใหม่ในสังคม เพราะเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ ที่มันถูกปลูกฝังผ่านทางความเชื่อ ค่านิยมประเพณี ที่กำหนดบทบาททางเพศในแบบดั้งเดิม ทำให้สังคมไม่กล้าสื่อสารกันในเรื่องเพศแบบเปิดเผย เพราะถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว
“การมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องส่วนตัวมากมาตั้งสมัยโบราณกาล มันเป็นเรื่องหยาบคาย และเป็นเรื่องที่ ‘ผู้หญิงดีๆ’ จะไม่มาคุยกัน เป็นเรื่องที่ถูกผูกขาดอำนาจให้กับผู้ชายเท่านั้นที่จะเป็นผู้สื่อสารเรื่องนี้ได้”
ชเนตตีเล่าว่า จากการศึกษาสื่อในอดีต ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6-7 เป็นต้นมา พบว่า สื่อในสมัยนั้นไม่เคยเปิดโอกาสให้ผู้หญิงสื่อสารในเรื่องเพศมาตั้งแต่แรกเริ่มเลย ดังนั้น เวลาที่เกิดเหตุการณ์การกระทำอนาจารทางเพศ ในพื้นที่สาธารณะ กระบวนการยุติธรรมจะบอกอย่างเดียวว่า ให้ ‘ไกล่เกลี่ย’
“จำได้เลย ตอนทำวิจัยเรื่องนี้ มันมีข่าวตอนสมัยปีพ.ศ. 2474 ที่ผู้ชายมาจับหน้าอกผู้หญิง แล้วมีพลตำรวจมาห้าม เพราะว่าผู้หญิงโวยวาย ตำรวจทำท่าเหมือนกับว่าจะเข้ามาช่วยเหลือนะ แต่คำพูดของตำรวจก็คือ นี่มัน ‘เป็นเรื่องเล็กน้อย อย่าเอาความกันเลย’ แล้วก็จับแยก”
ชเนตตีมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในข่าวนี้ สะท้อนให้เห็นว่า สังคมตั้งแต่สมัยนั้น ไม่ได้ฟังเสียงของผู้หญิง มันทำให้การร้องขอ หรือการปฏิเสธของผู้หญิงถูกมองเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ได้มีความสำคัญอะไร
“สุดท้ายแล้ว เมื่อข่าวนี้ถูกตีพิมพ์ลงไปในสื่อยุคนั้น มันก็ถูกส่งต่อในเชิงโทษผู้หญิง โดยที่การศึกษาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสอนเรื่องสิทธิบนเนื้อตัวร่างกายเลย” ชเนตตีวิเคราะห์ให้ฟัง
แลหลังมองหน้า ช่องโหว่ ‘กฎหมายข่มขืน’ ในญี่ปุ่น
นอกจากการต่อกรกับผู้มีอำนาจ และวิถีชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ตกเป็นเหยื่อของการถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีอีกประเด็นหนึ่งที่ชิโอริแอบเกริ่นไว้ในภาพยนตร์สารคดี Black Box Diaries นั่นคือประเด็นกฎหมายข่มขืนของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถูกบังคับใช้มานานกว่า 100 ปี
โดยกฎหมายข่มขืนของญี่ปุ่นฉบับเก่า ซึ่งมีการบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 1907 มีการกำหนดอายุ ‘ที่ถือว่ายินยอมมีเพศสัมพันธ์ได้’ คือ 13 ปี และกำหนดนิยามของคำว่า ‘การข่มขืน’ ว่า จะพิสูจน์ได้จากความรุนแรงทางกายและการถูกขู่เข็ญเท่านั้น ไม่ใช่จากการไม่ยินยอม หรือพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกนิด ก็คือ “แค่ไม่ยินยอมอย่างเดียว ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าถูกข่มขืน” ต้องมีการข่มขู่และการทำร้ายร่างกายร่วมด้วย
แน่นอนว่า กฎหมายข่มขืนฉบับเก่านั้น เต็มไปด้วยช่องโหว่มากมาย ตั้งแต่นิยามการมีเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการบีบบังคับ ด้วยการทำร้ายร่างกายหรือขู่กรรโชก รวมถึงกระบวนการสืบหาความจริง ที่ผลักภาระให้เหยื่อต้องหาหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า พวกเธอมีความตั้งใจที่จะขัดขืนมาเองด้วย

‘ช่องโหว่’ เหล่านี้ถูกพูดถึงกันอย่างแพร่หลาย ในหมู่นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนในญี่ปุ่น ซึ่งพยายามโต้แย้งว่า การหาหลักฐานยืนยันความตั้งใจที่จะขัดขืนของเหยื่อ ในบางครั้งมันก็เป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ โดยเฉพาะในกรณีที่เหยื่อตอบสนองด้วยการตัวแข็งทื่อ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาเบื้องต้นที่เกิดขึ้นกับผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยทั่วไป ซึ่งรู้สึกช็อกและหวาดกลัวเกินกว่าจะใช้กำลังขัดขืน และมีจำเลยบางคนถูกตัดสินว่าไม่มีความผิด แม้ว่าจะมีการพิสูจน์ได้ว่าการมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้เกิดจากความยินยอม เพราะพฤติกรรมไม่เข้าข่ายการใช้กำลังหรือขู่กรรโชก
จนกระทั่งวันที่ 16 มิถุนายน 2023 รัฐสภาญี่ปุ่นได้ผ่านร่างกฎหมายอาญาว่าด้วยการข่มขืนใหม่ โดยมีการขยายคำจำกัดความของคำว่า “ข่มขืน” ให้กว้างขึ้น และเน้นความสำคัญไปที่ ‘ความยินยอม’ มากขึ้น
กล่าวคือกฎหมายข่มขืนฉบับใหม่ของญี่ปุ่น ที่มีการปรับปรุงใหม่ใน ปี 2023 ได้แทนที่คำว่า “มีเพศสัมพันธ์ด้วยการบีบบังคับ” เป็นคำว่า “มีเพศสัมพันธ์โดยปราศจากความยินยอม” และขยายนิยามของคำว่า ‘ทำร้ายร่างกาย’ ให้ครอบคลุมเหยื่อที่อยู่ภายใต้ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือยาต่างๆ, ผู้ที่มีอาการทางประสาทหรือทุพพลภาพทางกายภาพ, ถูกคนร้ายข่มขู่ ด้วยสถานะทางสังคมหรือเศรษฐกิจ และผู้ที่ไม่สามารถแสดงการขัดขืน เนื่องจากการตกใจหรือปฏิกิริยาทางจิตใจรูปแบบอื่นๆ เข้าไปด้วย
นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มอายุความยินยอม จาก 13 ปี เป็น 16 ปี หมายความว่าผู้ก่อเหตุจะมีความผิดทันที หากลงมือกับผู้ที่มีอายุ 16 ปีลงไป ยกเว้นในกรณีที่เป็นผู้เยาว์ด้วยกันทั้งคู่ เหมือนกฎหมายที่ใช้ในหลายรัฐของสหรัฐฯ และประเทศในสหภาพยุโรป เช่น สหราชอาณาจักร, ฟินแลนด์ หรือนอร์เวย์ เพื่อลดช่องโหว่ของการถูกกรูมมิ่ง (Grooming) หรือการที่ผู้ใหญ่ค่อยๆ สร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจกับเด็กหรือเยาวชน เพื่อหลอกลวงและแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีการขยายกรอบกฎหมายว่าด้วยเรื่องอายุความ หรือกรอบกฎหมายว่าด้วยการแจ้งความเหตุข่มขืน โดยขยายจาก 10 ปี เป็น 15 ปี เพื่อเพิ่มโอกาสให้เหยื่อความรุนแรงทางเพศออกมาแจ้งความได้มากขึ้น และห้ามการถ่ายรูปถ้ำมองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น รูปถ่ายใต้กระโปรง หรือตั้งกล้องแอบถ่าย ขณะมีเพศสัมพันธ์ด้วย
บริบทกฎหมายข่มขืนแบบไทยๆ ที่ไม่ครอบคลุมคนทุกเพศ
เมื่อย้อนกลับมามองในบริบทของประเทศไทย เราจะพบว่ามีกฎหมายที่มีความใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่น นั่นคือ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2550 ที่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาให้สอดคล้องกับหลักการความเสมอภาคทางเพศ หนึ่งในนั้นคือประเด็นเรื่องการข่มขืน โดยมีการแก้ไขนิยามการกระทำความผิดฐานข่มขืนให้ครอบคลุมการกระทำให้กว้างขึ้น ในมาตรา 276 เพราะมองเห็นจุดบอดในหลายประเด็น
โดยมาตรา 276 (เดิม) ได้บัญญัติความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราไว้ว่า
“ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราหญิง ซึ่งมิใช่ภรรยาของตน โดยขู่เข็ญประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้หญิงเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกสี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดพันถึงสี่หมื่นบาท”
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ต้องระวางโทษจำคุกสิบห้าถึงยี่สิบปี ปรับตั้งแต่สามหมื่นถึงสี่หมื่นบาทหรือจำคุกตลอดชีวิต”
นัยนา สุภาพึ่ง อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชุดแรก ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย เกี่ยวกับสิทธิทางเพศและสิทธิความหลากหลายทางเพศ ให้กับองค์กรต่างๆ และเป็นหนึ่งผู้ร่วมขับเคลื่อนประเด็นเพื่อการแก้ไขกฎหมาย มาตรา 276 ให้สัมภาษณ์กับ Thai PBS สั้นๆ โดยมองว่า ปัญหาของมาตรา 276 เดิม คือการกำหนดให้เหยื่อความรุนแรงต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น และต้องไม่ใช่ภรรยาของผู้กระทำ ทั้งที่จริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะข่มขืนเพศไหน ก็ควรมีความผิดในฐานเดียวกันทั้งนั้น เพราะนั่นคืออาชญากรรมทางเพศ

“การที่กฎหมายใช้คำว่า ผู้ใดข่มขืน ‘หญิงอื่น’ ที่ไม่ใช่ภรรยา ต้องข่มขืนหญิงด้วยนะ ไม่ได้ข่มขืนชาย นั่นแปลว่า ถ้า ‘ผู้ใด’ ข่มขืนชาย ที่ไม่ใช่ภรรยา มันก็ไม่มีความผิดถูกไหม ก็กฎหมายมันตีความตามตัวหนังสือนี่นา”
นัยนาเล่าว่า สมัยก่อนเคยมีคดีที่คนต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว และมีการละเมิดทางเพศเด็กชาย แต่คนเหล่านั้นไม่ได้รับโทษในข้อหาก่อคดีข่มขืน แต่มีความผิดเรื่องอนาจาร หรือการทำร้ายร่างกาย ซึ่งโทษของการทำอนาจารจะเบากว่าการข่มขืน ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ตัวกฎหมาย มาตรา 276 เดิม กันในวงกว้างว่า มีช่องโหว่ที่ทำให้ไม่ครอบคลุมการกระทำความผิดทางเพศที่รุนแรงในทุกๆ กรณีได้
“เรื่องเพศมันเป็นเรื่องที่เกิดในพื้นที่ส่วนตัว ทำไมเราจะต้องไปมองอย่างเดียวว่า อวัยวะเพศชายต้องล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศหญิงนะ มันถึงจะเรียกว่าการข่มขืน แล้วปัญหาทางด้านสุขภาพจิตอื่นๆ ที่เกิดขึ้นล่ะ คุณเอามันไปวางไว้ตรงไหน”
แน่นอนว่าการที่กฎหมายผูกติดนิยามของการถูกล่วงละเมิดทางเพศกับความรุนแรงทางร่างกาย อาจจะเป็นการลดทอนโทษของจำเลยให้ลดน้อยลง ด้วยการเลี่ยงบาลีไปใช้คำว่าพยายามข่มขืน หรือพยายามทำอนาจาร ซึ่งเป็นการเลือกปฏิบัติไปโดยไม่รู้ตัว
“เราต้องมองการกระทำความผิดเรื่องเพศให้ออกก่อนว่า มันไม่เหมือนกับการตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กนะ ที่เวลาเราพิสูจน์ความผิดกัน มันจะต้องมีร่องรอยบาดแผล หรือพยานหลักฐานเกิดขึ้นทุกครั้ง”
นัยนาเชื่อว่าการพิสูจน์ความจริง ในกรณีที่มีความรุนแรงทางร่างกายเกิดขึ้น ไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นเท่ากับการพิสูจน์บาดแผลหรือร่องรอยที่อวัยวะเพศ เพราะไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคน และไม่มีข้อจำกัดเรื่องพยานแวดล้อม
หลังจากต่อสู้อย่างยาวนาน ในที่สุด สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้เห็นชอบพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2550 โดยให้เหตุผลหลักของการแก้ไขว่า เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญเรื่องการขจัดความแตกต่างของเพศและความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง บทบัญญัติใหม่ของมาตรา 276 ดังนี้
ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่นต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท - อาจเรียกได้ว่า นี่เป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงกฎหมายครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยเลยก็ว่าได้
บทสรุปสุดท้ายของ ‘กล่องดำ’ แห่งความลับ
หลังจากที่ชิโอริ ได้รับโทรศัพท์จากทนาย ซึ่งยืนยันว่าคดีอาญาของเธอจะไม่ถูกรื้อฟื้น เธอจึงตัดสินใจฟ้องร้องยามากุจิอีกครั้งในคดีทางแพ่งฯ
ซึ่งระหว่างที่กำลังเดินเรื่องเพื่อดำเนินคดีนั้น ชิโอริได้กลายเป็นศูนย์กลางความขัดแย้งทางการเมืองไปแบบงงๆ ได้รับทั้งคำขู่ฆ่า การกลั่นแกล้งเหยียดหยามทางไซเบอร์ รวมถึงจดหมายและอีเมล ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เพราะฝ่ายขวามองว่า เรื่องราวของเธอกับยามากุจิ เป็นเรื่องที่ถูกฝ่ายซ้ายจัดฉากขึ้นเพื่อโค่นล้มรัฐบาลอาเบะ ในขณะที่ฝ่ายซ้ายเองก็มองเธอเป็นฮีโร่ เพราะว่าการมีอยู่ของเธอ อาจจะล้มล้างอำนาจขั้วเดิมของชินโซ อาเบะได้ นอกจากนี้ชิโอริยังถูกยามากุจิฟ้องกลับ เพื่อเรียกค่าเสียหาย 130 ล้านเยน โดยอ้างว่าเธอจงใจเข้าหา เพื่อทำลายชื่อเสียงของเขา
ในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด จนแทบมองไม่เห็นดวงดาว ชิโอริก็ได้รับอีเมลจาก ‘คนเฝ้าประตู’ (Door man) ที่อยู่ในเหตุการณ์การล่วงละเมิดทางเพศในคืนนั้น โดยมีภาพยืนยันในกล้องวงจรปิด และเป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่หายตัวไป ซึ่งเต็มใจอย่างยิ่งที่จะให้ความช่วยเหลือเธอ จนในที่สุด ชิโอริก็ชนะคดีแพ่งฯ

แต่หลังศาลแพ่งฯ ได้พิพากษาไปไม่นาน ยามากุจิก็ขอยื่นอุทธรณ์คำตัดสินศาล ทำให้คดี ‘กล่องดำ’ ในครั้งนี้ ยังยืดเยื้อต่อไปอีกประมาณ 3 ปี จนกระทั่งวันที่ 8 กรกฎาคม ปี 2022 ศาลฎีกาได้ตัดสินยืนตามคำพิพากษาให้ชิโอริชนะคดีแพ่งฯ การต่อสู้ที่ยาวนานถึง 7 ปีนี้ จึงได้จบลง - ก่อนที่จะมีการแก้นิยามกฎหมายข่มขืนในญี่ปุ่นอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2023
สำหรับตัวผู้เขียนเอง ตลอดเวลาที่ได้รับชมภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ คือความรู้สึกที่ดำดิ่งและจมลึกไปกับสิ่งที่ชิโอริต้องเจอ เหมือนได้อ่านไดอารี่ของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ว่าเรื่องราวของเธอจะเปลี่ยนสิ่งที่ ‘ผู้หญิง’ ในญี่ปุ่น (และผู้หญิงในประเทศอื่นๆ) ต้องเจอได้ไม่มากก็น้อย
Black Box Diaries เป็นภาพยนตร์สารคดีที่บอกเล่าเรื่องราวในประเด็นอ่อนไหวได้อย่างจริงใจ ชวนน่าใจหายและสะเทือนใจ แต่ก็ฉายภาพบริบทสังคม และวัฒนธรรมความยินยอมทางเพศทั่วโลก (ซึ่งไม่เคยถูกให้ความสำคัญ) ได้อย่างเข้มข้นถึงแก่น จนไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงจริงๆ
ชมภาพยนตร์สารคดี Black Box Diaries ได้แล้วที่ VIPA โดยสามารถรับชมได้ทางเว็บไซต์ vipa.me และแอปพลิเคชัน VIPA บน iOS, Android และ Smart TV
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
- The TIMES
- Reuters
- HYPERALLERGIC
- BBC
- เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา




















