Synchronized Electrical Cardioversion เป็นหัตถการทางหัวใจที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับจังหวะการเต้นของหัวใจให้กลับมาปกติ (Normal Sinus Rhythm) โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นไม่สม่ำเสมอ เช่น ภาวะหัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) หรือภาวะหัวใจห้องบนเต้นรัว (Atrial Flutter)

ในสภาวะปกติ หัวใจของเราทำงานภายใต้การควบคุมของกระแสไฟฟ้า (Cardiac Electrical Conduction) ที่เริ่มต้นจากโหนดไซนัส (Sinoatrial Node หรือ SA Node) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนกลองใหญ่เพื่อกำหนดจังหวะของหัวใจ (Pacemaker) แต่เมื่อเกิดความผิดปกติในการนำกระแสไฟฟ้า เช่น การเกิดวงจรนำไฟฟ้าซ้ำหรือวนในหัวใจห้องบน (Re-entry Circuit) จังหวะการเต้นของหัวใจจะไม่สม่ำเสมออีกต่อไป บางครั้งเต้นเร็วเกินไป บางครั้งสั่นผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถบีบเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจมีเลือดคั่งในหัวใจ ผู้ป่วยเกิดอาการใจสั่น เหนื่อยง่าย หรือแม้แต่หมดสติในบางราย
Synchronized Electrical Cardioversion จึงเปรียบเสมือนการปรับจังหวะการเต้นของหัวใจให้กลับมาเป็นปกติด้วยไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยให้เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจซึ่งกำลังเต้นอย่างไร้ระเบียบ กลับมาทำงานพร้อมกันอีกครั้งในจังหวะที่ถูกต้องได้
หัตถการนี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นช็อกไฟฟ้าหัวใจแบบเดียวกับที่ใช้ในกรณีหัวใจหยุดเต้น แต่อันที่จริง Cardioversion เป็นการปล่อยกระแสไฟฟ้าอย่างมีจังหวะ ให้ตรงกับช่วงคลื่น R-wave ของ QRS complex ในคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram หรือ ECG) เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟฟ้าปล่อยในช่วงที่หัวใจยังบีบตัวไม่สุดหรือบีบตัวเร็วก่อนจะคลาย ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจห้องล่างเต้นพลิ้ว (Ventricular Fibrillation)
ก่อนเริ่มทำหัตถการ แพทย์จะติดแผ่นนำไฟฟ้า (Electrode Pads) ที่บริเวณหน้าอกของผู้ป่วย จากนั้นจะตั้งค่าเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Defibrillator) ให้ปล่อยพลังงานในระดับที่เหมาะสม ระหว่าง 50–100 จูล สำหรับภาวะหัวใจห้องบนเต้นรัว (Atrial Flutter) ในภาพ และ 120–200 จูล สำหรับภาวะหัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว (Atrial Fibrillation) ทั้งนี้ ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ด้วยว่าเป็นแบบปล่อยกระแสไฟฟ้าหนึ่งทาง (Monophasic) หรือ สองทาง (Biphasic)

เพื่อให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บปวด แพทย์อาจจะให้ยานอนหลับสั้น ๆ เช่น Propofol ร่วมกับยาแก้ปวดอย่าง Fentanyl การช็อกไฟฟ้าหัวใจจะเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที และหลังจากนั้นจึงประเมินว่าหัวใจกลับมาสู่จังหวะปกติหรือไม่ หากจังหวะการเต้นของหัวใจยังไม่ปกติ แพทย์อาจเพิ่มปริมาณไฟฟ้าที่ใช้และทำ Cardioversion ใหม่ได้
ในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะไม่นาน เช่น Atrial Fibrillation ที่เพิ่งเกิดไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน แพทย์อาจเลือกใช้ยาแทนการใช้ไฟฟ้า ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ปรับสมดุลการนำไฟฟ้าในกล้ามเนื้อหัวใจ เพื่อให้จังหวะการเต้นกลับมาเป็นปกติ
ยาที่ใช้แบ่งตามกลไกออกเป็นหลายกลุ่ม ได้แก่
- กลุ่ม Sodium Channel Blockers (Class I) เช่น Flecainide, Procainamide และ Quinidine ยับยั้งการนำไฟฟ้าผ่านช่องโซเดียม ลดอัตราการเต้นของหัวใจ
- กลุ่ม Beta Blockers (Class II) เช่น Metoprolol และ Propranolol ลดอัตราการเต้นของหัวใจโดยยับยั้งการทำงานของโหนด SA และ AV(Atrioventriculer)
- กลุ่ม Potassium Channel Blockers (Class III) เช่น Amiodarone และ Sotalol ปรับสมดุลการนำไฟฟ้าในหัวใจ ทำให้การเต้นของหัวใจมีเสถียรภาพมากขึ้น
- กลุ่ม Calcium Channel Blockers (Class IV) เช่น Verapamil และ Diltiazem ลดการนำกระแสไฟฟ้าระหว่างห้องหัวใจ
- ในบางกรณีอาจใช้ Adenosine เพื่อหยุดการนำไฟฟ้าชั่วขณะในโหนด AV ซึ่งจะทำให้หัวใจหยุดเต้นชั่วคราว แต่กลับมาเต้นใหม่และกลับเข้าสู่จังหวะปกติได้ภายในไม่กี่วินาที
การเลือกใช้วิธีไฟฟ้าหรือยา ขึ้นอยู่กับความเร่งด่วนของอาการ เสถียรภาพของระบบไหลเวียนโลหิต และระยะเวลาที่ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะดำเนินอยู่ หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น ความดันตก เวียนศีรษะ หรือหมดสติ จะเลือกทำ Electrical Cardioversion ทันที แต่ถ้าผู้ป่วยอาการคงที่ อาจเริ่มจากการใช้ยาก่อน
หลังทำ Cardioversion หัวใจแม้จะกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติ แต่ยังมีโอกาสกลับเข้าสู่ภาวะเดิมอีก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโครงสร้างหัวใจผิดปกติ หรือยังมีภาวะที่กระตุ้นการเต้นผิดจังหวะ เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือโรคลิ้นหัวใจ

แพทย์มักให้ยาต้านการเต้นผิดจังหวะ (Antiarrhythmic Drugs) ต่อเนื่อง เพื่อคงจังหวะหัวใจให้นิ่ง และอาจให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulant) เช่น Warfarin หรือ NOACs เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดที่อาจหลุดไปอุดหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนสำคัญของโรคหัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว
ก่อนการทำ Cardioversion ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมานาน แพทย์อาจทำการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงผ่านทางหลอดอาหาร (Transesophageal Echocardiography หรือ TEE) เพื่อดูว่ามีลิ่มเลือดในหัวใจหรือไม่ หากพบลิ่มเลือด จะต้องให้ยาละลายลิ่มเลือดก่อนทำหัตถการ เพื่อป้องกันภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันหลัง Cardioversion
เรียบเรียงโดย
โชติทิวัตถ์ จิตต์ประสงค์
ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์และการบาดเจ็บ
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย The Chinese University of Hong Kong
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech




















