ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

รวมเรื่องต้องรู้ยื่นภาษี เพื่อ “ลดหย่อนภาษี” ปี 2568


How to

จิราภพ ทวีสูงส่ง

แชร์

รวมเรื่องต้องรู้ยื่นภาษี เพื่อ “ลดหย่อนภาษี” ปี 2568

https://www.thaipbs.or.th/now/content/3427

รวมเรื่องต้องรู้ยื่นภาษี เพื่อ “ลดหย่อนภาษี” ปี 2568

การยื่นภาษี 2568 จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม 2569 Thai PBS รวมเรื่องต้องรู้ยื่นภาษี เพื่อ “ลดหย่อนภาษี” ปี 2568 มาให้ได้ทราบกัน เพื่อเสียภาษีน้อยลง

แต่ละปี..หนึ่งในหน้าที่ที่ผู้มีเงินได้ต้องไม่ลืมก็คือ หน้าที่ในการเสียภาษีเงินได้ประจำปี ซึ่งตามกฎหมายที่ผู้มีเงินได้แต่ละคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่การเสียภาษีมากเกินความจำเป็น เราสามารถทำให้จ่ายน้อยลงได้ ด้วยเหตุนี้ “การวางแผนภาษี” จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญให้เราได้ “ลดหย่อนภาษี” ช่วยให้เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย และถูกสตางค์ไปพร้อม ๆ กัน

ระยะเวลายื่นภาษีปี 2568 เพื่อการ “ลดหย่อนภาษี”

สำหรับระยะเวลาการยื่นภาษี 2568 จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม 2569 ผู้เสียภาษีควรเตรียมเอกสารและวางแผนล่วงหน้าในการ “ลดหย่อนภาษี” เพื่อไม่ให้พลาดกำหนด และหลีกเลี่ยงค่าปรับจากการยื่นล่าช้า

รายได้เท่าไร ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
 

การเสียภาษีเงินได้เป็นการเสียภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งหมายความว่าผู้ที่มีรายได้มากขึ้นจะต้องจ่ายภาษีในอัตราที่สูงขึ้นตามระดับรายได้ที่กำหนดไว้ในกฎหมาย โดยแบ่งเป็นช่วงรายได้ต่าง ๆ ที่มีอัตราภาษีแตกต่างกันไป หากสงสัยว่ารายได้ไม่ถึงต้องยื่นภาษีไหม? มาดูกันว่าใครบ้างที่ต้องเสียภาษี-ยื่นภาษีเงินได้ และต้องวางแผน “ลดหย่อนภาษี”

     - คนที่มีรายได้รวมต่ำกว่า 150,000 บาทต่อปีจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี (ภาษี 0%)
     - คนที่มีรายได้รวมตั้งแต่ 150,001 - 300,000 บาทต่อปี เสียภาษี 5%
     - คนที่มีรายได้รวมตั้งแต่ 300,001 - 500,000 บาทต่อปี เสียภาษี 10%
     - คนที่มีรายได้รวมตั้งแต่ 500,001 - 750,000 บาทต่อปี เสียภาษี 15%
     - คนที่มีรายได้รวมตั้งแต่ 750,001 - 1,000,000 บาทต่อปี เสียภาษี 20%
     - คนที่มีรายได้รวมตั้งแต่ 1,000,001 - 2,000,000 บาทต่อปี เสียภาษี 25%
     - คนที่มีรายได้รวมตั้งแต่ 2,000,001 - 5,000,000 บาทต่อปี เสียภาษี 30%
     - คนที่มีรายได้รวมมากกว่า 5,000,000 บาทต่อปี เสียภาษี 35%

การ "วางแผนภาษี" ช่วยลดหย่อนภาษี

การวางแผนภาษีนอกจากช่วยให้คุณเสียภาษีถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ได้ลดหย่อนภาษี ไม่ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ยังมีประโยชน์สำคัญที่ควรทราบ ได้แก่

1. สามารถวางแผนการเงินได้รัดกุมและเป็นระบบมากขึ้น

ใครที่เป็นเจ้าของกิจการ หรือฟรีแลนซ์ คงทราบดีว่าระบบการยื่นภาษีของกรมสรรพากรมีทั้งแบบอัตราเหมา และหักค่าใช้จ่ายตามจริง ถ้าต้องการใช้สิทธิหักตามจริง ก็ต้องเตรียมเอกสารใบรับรอง ใบรับเงินต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการ จึงต้องวางแผนการเงินอย่างรัดกุม ไม่นำเงินไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เพราะการใช้จ่ายกับรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจ เช่น ซื้อแอลกอฮอล์ บุหรี่ ไม่อยู่ในรายการหักค่าใช้จ่ายตามจริง

2. ยิ่งวางแผนภาษีเร็ว ยิ่งประหยัดภาษีได้มาก

หากวางแผนภาษีเร็ว ก็จะมีเวลาศึกษารายละเอียดของรายการลดหย่อนภาษีต่าง ๆ พร้อมเตรียมเอกสารประกอบการลดหย่อนภาษีได้ครบถ้วน ทำให้ได้เงินคืนจากการประหยัดภาษีมากยิ่งขึ้น

อัปเดตการวางแผนภาษีทุกปี เพื่อลดหย่อนภาษี

การวางแผนภาษี ต้องมีการอัปเดตอยู่เสมอ นั่นเพราะกรมสรรพากรมีการปรับเปลี่ยนมาตรการลดหย่อนภาษีใหม่ ๆ อยู่เสมอ ดังนั้น เพื่อให้การวางแผนภาษีเป็นของปัจจุบัน และเป็นประโยชน์ในการประหยัดภาษีสูงสุด เราจึงจำเป็นต้องนำแผนภาษีที่เราเคยวางไว้ในปีก่อน ๆ มาปัดฝุ่นและปรับปรุงให้เป็นไปตามมาตรการใหม่ของกรมสรรพากรในทุก ๆ ปีนั่นเอง

ประโยชน์ของการวางแผนลดหย่อนภาษี

     - ลดภาระภาษีที่ต้องชำระ ทำให้มีเงินเหลือใช้มากขึ้น
     - เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน นำเงินที่ประหยัดได้ไปใช้จ่ายหรือลงทุนต่อยอด
     - ช่วยให้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่กฎหมายกำหนดได้ครบถ้วน ไม่พลาดสิทธิที่ควรได้รับ
     - ส่งเสริมการออมและการลงทุน เช่น การลงทุนในกองทุน RMF ที่ช่วยลดหย่อนภาษี และสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
     - ป้องกันโทษและค่าปรับจากการยื่นภาษีผิดพลาดหรือล่าช้า เพราะเตรียมเอกสารและวางแผนล่วงหน้าอย่างถูกต้อง
     - ช่วยให้เข้าใจรายรับรายจ่ายของตนเอง เกิดวินัยทางการเงินที่ดียิ่งขึ้น
     - สนับสนุนเป้าหมายทางการเงินระยะยาว เช่น การเก็บออมไว้ใช้หลังเกษียณหรือซื้อบ้านในอนาคต

ลดหย่อนภาษีปี 2568 มีอะไรบ้าง

ปี 2568 กรมสรรพากรได้มีการออกมาตรการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมหลายรายการด้วยกัน Thai PBS จึงขอสรุปรายการลดหย่อนภาษี พร้อมกับรายการลดหย่อนภาษีใหม่ ๆ ที่ออกมาในปี 2568 เพื่อจะได้นำไปใช้ประกอบการวางแผนภาษีต่อไป

1. ค่าลดหย่อนภาษีพื้นฐาน

     - ผู้มีเงินได้ : 60,000 บาท (หรือ 120,000 กรณีผู้มีเงินได้เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล)
     - คู่สมรส : 60,000 บาท กรณีคู่สมรสไม่มีเงินได้
     - บุตร : คนละ 30,000 บาท หรือคนละ 60,000 บาท สำหรับบุตรตั้งแต่คนที่ 2 เป็นต้นไปที่เกิดในหรือหลังปี พ.ศ. 2561
     - ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร : ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 60,000 บาท ต่อครรภ์
     - อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา : คนละ 30,000 บาท สำหรับการอุปการะบิดามารดาของตนเอง หรือของคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้
     - อุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ : คนละ 60,000 บาท (ตามแบบ ล.ย.04)
     - เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา : ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท (บิดามารดาของตนเองหรือของคู่สมรส)
     - เบี้ยประกันสุขภาพของตนเอง : ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท (และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิต ต้องไม่เกิน 100,000 บาท)
     - เบี้ยประกันชีวิต : ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
     - ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารอยู่อาศัย : ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

2. ค่าลดหย่อนภาษีเพื่อการออมและการลงทุน

สำหรับสิทธิลดหย่อนภาษีในกลุ่มนี้ ผู้ที่สามารถใช้สิทธินี้ได้ต้องซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือสมทบทุนในกองทุนที่รัฐกำหนด ดังรายละเอียดต่อไปนี้

     - เงินประกันสังคม : สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาท

     - เบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ : จะได้สิทธิลดหย่อนภาษี ก็ต่อเมื่อซื้อประกันที่มีแผนกรมธรรม์คุ้มครองระยะเวลาเกิน 10 ปีขึ้นไป โดยต้องทำประกันกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย และถ้าหากมีการเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี จะถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไข ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งเบี้ยประกันชีวิตที่คุณได้จ่ายไป สามารถนำมาลดหย่อนได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

     - เบี้ยประกันสุขภาพ และเบี้ยประกันอุบัติเหตุที่คุ้มครองสุขภาพ : ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ แล้วจะลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาท

     - เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา : ถ้าหากทำประกันให้พ่อแม่ก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท และบิดามารดาต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปีด้วย

     - เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม) : ผู้ที่สนใจทำธุรกิจเพื่อสังคม หรือซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป สามารถนำเงินลงทุนไปเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

     - กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) : เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงหลัก ESG (Environment, Social และ Governance) ซึ่งสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท เป็นวงเงินแยกต่างหาก โดยไม่ต้องนับรวมกับเงินลงทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ ซึ่งเกณฑ์การถือครองหน่วยลงทุน ต้องถือหน่วยลงทุนเกินกว่า 5 ปีขึ้นไป (นับจากวันที่ซื้อหน่วยลงทุน)

     - กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF : Retirement Mutual Fund) : นอกจากกองทุน Thai ESG แล้ว กองทุน RMF ก็ให้สิทธิลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของเงินได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ

     - กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF : Super Saving Funds) : ลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

ทั้งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด ก็คือการสิ้นสุดสิทธิ์ลดหย่อนกองทุน SSF โดยปี 2567 เป็นปีสุดท้าย ที่สามารถซื้อกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) เพื่อนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ และปีภาษี 2568 จะไม่สามารถนำเงินลงทุนที่ซื้อในกองทุน SSF ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป มาหักลดหย่อนภาษีได้อีก

     - กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) / กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน : เป็นสิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับพนักงานบริษัทเอกชน หรือครูเอกชนที่ได้ทำกองทุนดังกล่าวเอาไว้ ซึ่งลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ

     - กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.) : เป็นสิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับข้าราชการที่จ่ายเงิน กบข. เป็นประจำทุกเดือนอยู่แล้ว โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท

     - กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) : เป็นสิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับฟรีแลนซ์ พ่อค้า-แม่ค้า ที่ไม่มีกองทุนเหมือนกับสาขาอาชีพอื่น ซึ่งจะลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

     - เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ : ลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้พึงประเมิน ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท สามารถใช้สิทธิดังกล่าวควบคู่ไปกับเบี้ยประกันรูปแบบอื่น ๆ ได้ด้วย ทั้งนี้เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

t

3. ค่าลดหย่อนภาษีเพื่อบริจาค

     - เงินบริจาคแก่พรรคการเมือง : ตามที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 10,000 บาท

     - เงินบริจาค 2 เท่า เช่น บริจาคให้แก่สถานศึกษา บริจาคให้โรงพยาบาลรัฐ : 2 เท่า ของเงินบริจาค แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนภาษีแล้ว

     - เงินบริจาคทั่วไป เช่น บริจาคให้วัดวาอาราม บริจาคให้องค์การสาธารณกุศล : ตามที่บริจาคจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนภาษีแล้ว

4. ค่า “ลดหย่อนภาษี” พิเศษ

- ค่าซื้อและค่าติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด : ตามที่จ่ายจริง เฉพาะผู้ที่มีเงินได้ตามมาตรา 40 (5) (6) (7) และ (8) ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลาเฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอเทพา และจังหวัดสตูล) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 785) พ.ศ. 2567 และประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 450) ลงวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

- ค่าจ้างก่อสร้างอาคารเพื่ออยู่อาศัยขึ้นใหม่ : จำนวน 10,000 บาท ต่อทุกจำนวน 1,000,000 บาท ที่จ่ายเป็นค่าจ้างก่อสร้างอาคารเพื่ออยู่อาศัยขึ้นใหม่ให้แก่ผู้รับจ้างซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่รวมแล้วไม่เกิน 100,000 บาท และไม่เกินหนึ่งหลัง เฉพาะค่าจ้างตามสัญญาจ้างที่ได้กระทำขึ้น และเริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 และได้เสียอากรแสตมป์โดยวิธีการชำระอากรเป็นตัวเงินผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

- ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ Easy E-Receipt 2.0 ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค - 28 ก.พ. 68 ซึ่งผู้ขายหรือผู้ให้บริการได้ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt)

     - ลดหย่อนภาษี 30,000 บาทแรก สำหรับซื้อสินค้าหรือบริการทั่วไปที่มีใบกำกับ/ใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์
     - ลดหย่อนภาษีเพิ่ม 20,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้า OTOP หรือซื้อสินค้าและบริการที่จ่ายให้วิสาหกิจชุมชนหรือวิสาหกิจเพื่อสังคม

ยกเว้น : สินค้าและบริการที่ไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ เช่น สุรา เบียร์ ไวน์ ยาสูบ น้ำมัน ก๊าซ ยานพาหนะ รถยนต์ จักรยานยนต์ เรือ ค่าสาธารณูปโภค และค่าเบี้ยประกันวินาศภัย

- ค่าที่พักและค่าบริการของร้านอาหารภายในประเทศโครงการ “เที่ยวดี มีคืน 2568” (เฉพาะที่พักและร้านอาหารที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม) ที่จ่ายตั้งแต่ 29 ตุลาคม - 15 ธันวาคม 2568 : ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 20,000 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

     - 10,000 บาทแรก สำหรับใบกำกับภาษีแบบกระดาษหรือแบบอิเล็กทรอนิกส์ (กระดาษ / e-Tax Invoice)
     - และอีก 10,000 บาท สำหรับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น (e-Tax Invoice)

ทั้งนี้ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า สำหรับค่าที่พักหรือค่าบริการของร้านอาหารในจังหวัดท่องเที่ยวรอง 55 จังหวัดและบางอำเภอในจังหวัดอีก 15 จังหวัด เช่น จ่ายค่าที่พักหรือค่าบริการของร้านอาหารในจังหวัดท่องเที่ยวรอง 10,000 บาท จะหักลดหย่อนภาษีได้ 15,000 บาท แต่ถ้าจ่ายค่าที่พักหรือค่าบริการของร้านอาหารในจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดท่องเที่ยวรอง 10,000 บาท จะหักลดหย่อนภาษีได้ 10,000 บาท

ข้อแนะนำเกี่ยวกับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี

การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีที่ต้องมีใบกำกับภาษีเป็นหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบกระดาษ หรือรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ต้องตรวจสอบให้ดีว่า

     - ผู้ประกอบการที่ออกใบกำกับภาษีให้นั้น เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนจริงหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ผ่าน ข้อมูลจากกรมสรรพากร
     - ชื่อ-สกุล และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของเราว่าถูกต้องหรือไม่
     - วันที่ในใบกำกับภาษีหรือใบรับ จะต้องอยู่ภายในระยะเวลาที่สรรพากรกำหนด

ทั้งนี้ สำหรับกรณีใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่า ใบกำกับภาษีนั้นเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) จริงหรือไม่ (การที่ใบกำกับอยู่ในรูปแบบไฟล์ หรือส่งมาทางอีเมล ไม่ได้หมายความว่าใบกำกับนั้นเป็น e-Tax Invoice เสมอไป) โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิออกใบกำกับภาษีหรือใบรับในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ที่ข้อมูลจากกรมสรรพากร และสังเกตว่า มีถ้อยคำในหมายเหตุใต้ใบกำกับภาษีว่า “เอกสารฉบับดังกล่าวได้จัดทำและส่งข้อมูลให้แก่กรมสรรพากรด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือไม่”

การแจ้งความประสงค์ใช้สิทธิลดหย่อนภาษี

ท่านใดที่ประสงค์ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจำพวกดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย เบี้ยประกันสุขภาพ เบี้ยประกันชีวิต เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมลดหย่อนภาษีต่าง ๆ ก็อย่าลืมแจ้งธนาคาร บริษัทประกัน หรือบริษัทหลักทรัพย์ แล้วแต่กรณี ให้ส่งข้อมูลของเราให้แก่กรมสรรพากรภายในสิ้นปี 2568 ด้วย มิเช่นนั้นจะเสียสิทธิไม่สามารถนำรายการต่าง ๆ นั้น มาเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้

เอกสารที่ต้องใช้สำหรับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี มีอะไรบ้าง?

เอกสารที่ต้องเตรียมในการยื่นใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ได้แก่

     - หนังสือรับรองภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ)
     - เอกสารหรือหลักฐานรายการลดหย่อนภาษี เช่น เอกสารการซื้อกองทุน หรือประกัน
     - หลักฐานหรือใบเสร็จการบริจาค

สถานที่ในการยื่นภาษี เพื่อลดหย่อนภาษีและคืนภาษี

การยื่นภาษีและขอสิทธิลดหย่อนภาษี 2568 สามารถดำเนินการได้หลายช่องทาง ได้แก่

     - การยื่นแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
     - การยื่นผ่านแอปพลิเคชัน RD Smart Tax บนสมาร์ตโฟน
     - การยื่นด้วยตนเองที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาทั่วประเทศ

ทิ้งท้าย หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีต่าง ๆ กรมสรรพากรมีช่องทางให้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ RD Intelligence Center 1161 หรือสืบค้นข้อมูลได้ที่ www.rd.go.th

 

📌อ่าน : เช็กเงื่อนไข "เที่ยวดี มีคืน 2568" ลดหย่อนภาษี ค่าโรงแรม-ร้านอาหาร

📌อ่าน : สรุปมาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” 2568 ท่องเที่ยวในไทยสิ้นปีนี้ พร้อมรับสิทธิลดหย่อนภาษีปีหน้า

📌อ่าน : เช็กรายการลดหย่อน ก่อนยื่นภาษีปี 68 มีอะไรใหม่?

📌ฟัง : ระบบภาษีไทย พลาดตรงไหน ทำไมต้องปฏิรูป

 

แหล่งข้อมูลอ้างอิง : กรมสรรพากร, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, บัตรกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารกรุงไทย

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ยื่นภาษียื่นภาษี 2568ยื่นภาษีออนไลน์ลดหย่อนภาษีลดหย่อนภาษี 2568เสียภาษีเสียภาษีออนไลน์เสียภาษีเงินได้วางแผนภาษีภาษีThai PBSHow toTips & Trick, How to
จิราภพ ทวีสูงส่ง

ผู้เขียน: จิราภพ ทวีสูงส่ง

"เซบา บาสตี้" เจ้าหน้าที่เนื้อหาดิจิทัล สำนักสื่อดิจิทัล ไทยพีบีเอส คนทำงานด้านการเขียน : Specialist Contents / Journalist / Writer / Creative Copywriter / Proofreader Lover (ติดต่อ jiraphobT@thaipbs.or.th)

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด