ตามต่อและตามติดกับกระแส “ทุเรียนไทย” ในจีน ครั้งนี้ขอพาไปเจาะ Insight ส่องความท้าทายใหม่ ! สถานการณ์ตลาด “ทุเรียนสด” ในจีน ปีที่ผ่านมา (ปี 66) ของ “ทุเรียนไทย” ซึ่งไม่ใช่ชาติเดียวที่ “ส่งออกทุเรียน” ไปยังแดน “พญามังกร”
ปัจจุบัน “จีน” เป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่อันดับหนึ่งของไทย ในบรรดาสินค้าเกษตร ถือได้ว่าราชาผลไม้อย่าง “ทุเรียน” เป็นสินค้าเกษตรส่งออกดาวเด่นที่สร้างรายได้ให้กับการส่งออกไทยเสมอมา แต่เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญขึ้นใน “ตลาดทุเรียนจีน” ช่วง 2 ปีมานี้ นั่นก็คือ “ตลาดทุเรียนสด” ของจีนกับสถานภาพของทุเรียนไทยที่ต้องเปลี่ยนผ่านจาก “ตลาดทุเรียนผูกขาด” (monopoly) ไปเป็น “ตลาดทุเรียนที่มีผู้ขายน้อยราย” (oligopoly) โดยมีชาติเพื่อนบ้านอย่าง “เวียดนาม” ที่กระโดดเข้ามาเป็นตัวรุกตัวสำคัญ และฟิลิปปินส์ที่เป็นตัวสอดแทรกในเกมสัประยุทธ์ช่วงชิงตลาดทุเรียนสดในจีน
📌อ่านต่อ : ทำไม ? “คนจีน” หลงใหล “ทุเรียนไทย” ไม่เสื่อมคลาย
ตัวเลขทางสถิตินี้เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า “ทุเรียนสด” เป็นที่ต้องการของตลาดจีนมากน้อยแค่ไหน ปี 66 จีนนำเข้า “ทุเรียนสด” (พิกัด 0810.6000) มากถึง 1,425,923 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 65 ถึง 601,051 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 72.87 (Year over year: YoY) คิดเป็นมูลค่าการนำเข้า 47,195 ล้านหยวน หรือเกือบ 236,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 74.69 (YoY)
📌อ่าน คนจีนแชมป์สั่งซื้อ "ทุเรียนไทย" ปี 66 พุ่งกว่า 9 หมื่นล้าน
โดยปี 2566 “ทุเรียนไทย” ครองส่วนแบ่งตลาดทุเรียนสดในจีนร้อยละ 65.15 ด้วยปริมาณการนำเข้า 928,976 ตัน การวิเคราะห์เชิงปริมาณ พบว่า แม้ว่าทุเรียนไทยจะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น แต่การส่งออกทุเรียนของไทยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณ และมูลค่า กล่าวคือ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จีนนำเข้าทุเรียนไทยเพิ่มขึ้น 144,966 ตัน คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 18.49 (YoY) คิดเป็นมูลค่าการนำเข้า 31,973 ล้านหยวน หรือเกือบ 1.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.48 (YoY)
ผู้เล่นหน้าใหม่ที่น่าจับตาก็คือ “เวียดนาม” ที่ส่งทุเรียนพันธุ์หมอนทอง “รีเสา” (Ri6) ลงสนามสังเวียน โดย “ทุเรียนญวน” ใช้เวลาสั้น ๆ เพียงปีกว่า (ทุเรียนสดเวียดนามเข้าจีนครั้งแรกในเดือน ก.ย. 65) ก็สามารถ “แบ่งเค้ก” ตลาดทุเรียนในจีนไปได้ร้อยละ 34.59 ด้วยปริมาณการนำเข้า 493,183 ตัน คิดเป็นมูลค่านำเข้า 15,126 ล้านหยวน
ขณะที่ “ทุเรียนฟิลิปปินส์” มาแบบเลียบ ๆ เคียง ๆ ด้วยปริมาณการนำเข้า 3,763 ตัน คิดเป็นมูลค่า 94.7 ล้านหยวน มีส่วนแบ่งตลาดเพียงร้อยละ 0.26 ของปริมาณนำเข้าทุเรียนสดของจีน โดยสาเหตุสำคัญเป็นเพราะทุเรียนฟิลิปปินส์ยังไม่เป็นที่รู้จักในสายตาผู้บริโภคชาวจีน อีกทั้งปัจจัยด้านต้นทุนและระยะทางการขนส่ง (ทางเรือกับทางเครื่องบิน) รวมถึงสวนทุเรียนและโรงคัดบรรจุ หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ล้ง” ในฟิลิปปินส์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากศุลกากรแห่งชาติจีนยังมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศไทยและเวียดนาม
จากข้อมูลล่าสุดบนเว็บไซต์ศุลกากรแห่งชาติจีน พบว่า สวนทุเรียนฟิลิปปินส์ที่ได้รับขึ้นทะเบียนมีจำนวน 183 แห่ง และโรงคัดบรรจุทุเรียนฟิลิปปินส์ที่ได้รับขึ้นทะเบียนมีจำนวน 10 แห่ง ขณะที่ประเทศไทยมีสวนทุเรียนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วเกือบ 80,000 แห่ง โรงคัดบรรจุผลไม้เกือบ 2,000 แห่ง และเวียดนามมีสวนทุเรียนที่ได้รับการขึ้นทะเบียน 708 แห่ง และโรงคัดบรรจุทุเรียน 168 แห่ง
ณ จุดนี้ ผู้อ่านอาจเกิดคำถามขึ้นว่า แล้วทำไมตัวเลขการนำเข้าไม่ปรากฏชื่อของ “ทุเรียนมาเลย์” สาเหตุเพราะว่า ปัจจุบัน “จีน” อนุญาตให้มาเลเซียส่งออกเฉพาะ “ทุเรียนแช่แข็ง” ทั้งแบบแกะเปลือกและแช่แข็งทั้งลูก ในบริบทที่ “ทุเรียนมาเลย์” มีชื่อเสียงไม่แพ้ทุเรียนไทยบ้านเรา สิ่งที่น่าจับตามอง ! เป็นความเคลื่อนไหวของรัฐบาลมาเลเซียที่กำลังพยายามเจรจาทางการเมืองกับจีน เพื่อขอให้จีนเปิดตลาด “ทุเรียนสด” ให้กับมาเลเซียอยู่ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้ (ปี 67)
ในส่วนของกระแสข่าวที่จีนประกาศว่าสามารถปลูกทุเรียนได้แล้ว ในระยะสั้นอาจจะยังไม่สร้างผลกระทบต่อทุเรียนไทยแต่อย่างใด เนื่องจากผลผลิตที่ได้ยังไม่สมบูรณ์ แต่อย่าชะล่าใจ เนื่องจาก “ทีมวิจัยจีน” ยังคงเดินหน้าในการทดลองและวิจัยเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับพื้นที่เพาะปลูกและการวิจัยผลการกลายพันธุ์และการปรับตัวของพันธุ์ทุเรียน หาก “จีน” ทำสำเร็จ สามารถผลิตทุเรียนคุณภาพเพื่อป้อนตลาดในประเทศได้แล้ว คงเป็นเวลาที่ทุเรียนไทยต้องเตรียมรับ “แรงกระแทก” อีกด้าน เพราะหากพิจารณาจากต้นทุนและราคาขายแล้ว คาดว่าจะถูกกว่าทุเรียนนำเข้าจากไทย
ตลาดนำเข้าหลักในจีนขณะนี้ ยังเป็นตลาดดั้งเดิมบริเวณพื้นที่จีนตอนใต้ ตัวเลขสถิติของศุลกากรจีน พบว่า การนำเข้าทุเรียนสดของ 3 มณฑลตอนใต้ คือ “มณฑลกวางตุ้ง เขตปกครองตนเองกว่างซี และมณฑลยูนนาน” รวมกันมีสัดส่วนเกือบ 2 ใน 3 ของปริมาณการนำเข้าทั้งประเทศ หรือราว ๆ ร้อยละ 61.29 หากรวมกับ “มณฑลเจ้อเจียง” ที่ยืนหนึ่งในฐานะผู้นำเข้ารายใหญ่ทางภาคตะวันออกของจีนแล้ว จะมีสัดส่วนการนำเข้ามากถึงร้อยละ 71.73 ของปริมาณนำเข้าทั้งประเทศเลยทีเดียว
📌อ่าน : ครบ 2 ปี “RCEP” ช่วยส่งเสริม “สินค้าไทย” สู่ “ครัวจีน”
ด้วยเหตุผลด้านทำเลที่ตั้งของพื้นที่จีนตอนใต้อยู่ใกล้แหล่งผลิตทุเรียนอย่างไทยและเวียดนาม การขนส่งมีระยะทางสั้นและใช้เวลาน้อย กอปรกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรมีความคุ้นเคยและชำนาญในงานที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำ ทำให้การปฏิบัติพิธีการศุลกากรนำเข้าเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เป็นข้อได้เปรียบที่ช่วยให้ทุเรียนคงความสดใหม่และขายได้ราคาดีกว่าการขนส่งทางเรือไปขึ้นที่ท่าเรือทางภาคเหนือของจีน ซึ่งมีระยะทางไกลและต้องใช้เวลานาน
เมื่อลมเปลี่ยนทิศ หลัง “รัฐบาลจีน” เริ่มเปิดตลาด “ทุเรียนสด” ให้ผู้เล่นรายใหม่เข้ามาลงเล่นในเกมธุรกิจ ส่งผลให้สถานการณ์การนำเข้า “ทุเรียนสด” ในจีนมีทิศทางเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ “เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง” ในฐานะเบอร์ 2 ของการนำเข้าทุเรียนสด ด้วยสัดส่วนร้อยละ 18.50 ของปริมาณการนำเข้าทั้งประเทศ (น้ำหนัก 263,737 ตัน มูลค่า 8,792 ล้านหยวน)
การที่เวียดนามเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับกว่างซี (จีน) การขนส่งมีระยะทางสั้น มีต้นทุนต่ำ และเวียดนามมีฤดูเก็บเกี่ยวทุเรียนค่อนข้างยาว ซึ่งสามารถชดเชยตลาดทุเรียนไทยได้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การนำเข้า “ทุเรียนญวน” ของกว่างซีเบียดแซงทุเรียนไทยในปีที่ผ่านมา ด้วยสัดส่วนร้อยละ 52.47 ของปริมาณการนำเข้าทั้งมณฑล และเป็นแชมป์การนำเข้าทุเรียนญวนในจีนด้วยสัดส่วนร้อยละ 28.06 ขณะที่ทุเรียนไทยหล่นเป็นอันดับ 2 ด้วยสัดส่วนร้อยละ 47.53 ของปริมาณนำเข้าทั้งมณฑล
ตลาด “ทุเรียนญวน” อยู่แถวไหนในจีน นอกจากเขตฯ กว่างซีจ้วงแล้ว มณฑลที่นิยมทุเรียนญวนอันดับรองลงมา ได้แก่ มณฑลกวางตุ้ง สัดส่วนร้อยละ 17.36 ของปริมาณนำเข้าทุเรียนเวียดนามของจีน / มณฑลเจ้อเจียง สัดส่วนร้อยละ 11.83 / มณฑลยูนนาน สัดส่วนร้อยละ 10.90 และมณฑลเหอเป่ย สัดส่วนร้อยละ 10.03 โดย 5 มณฑลข้างต้น มีสัดส่วนการนำเข้ารวมกันกว่าร้อยละ 78.18 ของปริมาณการนำเข้าทุเรียนญวนของทั้งประเทศ
ขณะที่ “ทุเรียนฟิลิปปินส์” ตลาดหลักอยู่ที่นครเซี่ยงไฮ้ มีสถิติการนำเข้า 1,167 ตัน สัดส่วนร้อยละ 31.04 ของปริมาณการนำเข้าทุเรียนฟิลิปปินส์ของทั้งประเทศ มณฑลกวางตุ้ง 1,158 ตัน สัดส่วนร้อยละ 30.79 และมณฑลเจ้อเจียง 893 ตัน สัดส่วนร้อยละ 23.75 โดยการนำเข้าของ 3 มณฑลข้างต้น มีสัดส่วนรวมกันมากถึงร้อยละ 85.58 ของปริมาณการนำเข้าทุเรียนฟิลิปปินส์ของทั้งประเทศ
หากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมภายนอก ท่าทีรัฐบาลจีนที่มีต่อการเปิดตลาด “ทุเรียนสด” ให้กับประเทศอื่นเพิ่มเติมถือเป็นความท้าทายใหม่ของทุเรียนไทย ซึ่งจะส่งผลให้สมรภูมิการแข่งขันของตลาดทุเรียนสดในจีนทวีความดุเดือดมากยิ่งขึ้น ทั้งทุเรียนสดมาเลย์ และที่จะตามมาอย่างทุเรียนกัมพูชา ทุเรียนอินโดฯ และทุเรียนสปป.ลาว
นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวของประเทศเพื่อนบ้านเราในการพัฒนาอุตสาหกรรมทุเรียนเพื่อการส่งออกในอนาคต โดยเฉพาะการเช่าที่ดินปลูกทุเรียนของนายทุนจีน (เข้าไปเช่าที่ดินในเวียดนาม สปป.ลาว และกัมพูชา) เวียดนามยังนิยมปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทองภายใต้การส่งเสริมของภาครัฐในการจัดสรรกิ่งพันธุ์คุณภาพ หากเวียดนามสามารถปลูกทุเรียนได้มากขึ้น ต้นทุนทุเรียนที่ส่งขายจีนจะถูกลงกว่าไทยตามหลักการประหยัดต่อขนาด (economy of scale) คาดว่าในอนาคต เวียดนามจะเป็นอีกตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกทุเรียนของไทยไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะโครงสร้างราคาทุเรียนในตลาดจีน
ส่วนปัจจัยภายในประเทศ ภารกิจหลัก (First Priority) ต้องยกให้เรื่องการควบคุมและรักษาคุณภาพทุเรียนส่งออกอย่างเข้มงวดและสม่ำเสมอ ให้ได้คุณภาพความปลอดภัย และปฏิบัติตามข้อกำหนดเกี่ยวกับมาตรฐานด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชในพิธีสารฯ อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของ “ทุเรียนไทย” ในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของทุเรียนไทย
ประเด็นสำคัญ “เกษตรกรไทย” จำเป็นต้องคำนึงถึงคุณภาพให้มากขึ้น ตั้งแต่เกษตรต้นน้ำในด้านการปฏิบัติทางการเกษตรดี หรือ GAP (Good Agricultural Practice) เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตทุเรียนที่ปลอดสารเคมีตกค้าง ปลอดแมลงศัตรูพืชให้ได้ตรงตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช และการดำเนินงานของโรงคัดบรรจุให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิต หรือ GMP (Good Manufacturing Practice) รวมถึงการพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เพื่อสร้างความมั่นใจด้านอาหารปลอดภัย (Food Safety) และมาตรฐานสินค้าที่ตรงใจผู้บริโภค
ส่วนที่ต้องรีบแก้ไขคือ ปัญหาการลักลอบส่งออก “ทุเรียนอ่อน” ไปขายที่จีน ซึ่งพบการหลุดรอดออกนอกประเทศ แม้จะมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดแล้วก็ตาม รวมถึงการจัดการแมลงศัตรูพืชที่ติดไปกับทุเรียน โดยเฉพาะหนอนเจาะเมล็ดทุเรียนปนไปกับทุเรียนส่งออก ซึ่งมักพบในทุเรียนภาคใต้
ขณะที่ “การบริหารจัดการต้นทุน” ทางการเกษตรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งราคาปุ๋ย และยาฆ่าแมลง เพื่อเสริมสร้างแรงแข่งขันด้านต้นทุนให้กับเกษตรกร อาจต้องพิจารณาใช้กลไกการแทรกแซงหรือพยุงราคาในยามจำเป็น และการทำหน้าที่เป็น “ครูแนะแนว-พี่เลี้ยง” ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความรู้ด้านการเกษตร หรือสำรวจความต้องการของเกษตรกรในพื้นที่
นอกจากนี้การแก้ไขปัญหาเรื้อรังเชิงโครงสร้างของผู้เล่นรายใหญ่ในไทยที่ตกอยู่ในกำมือของธุรกิจ “ล้ง” รับซื้อทุเรียน ซึ่งมักเอาเปรียบชาวสวนทุเรียนไทยด้วยการเสนอราคาที่ไม่เป็นธรรม กดราคาให้ต่ำกว่าราคาตลาด หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายผู้ส่งออก-ผู้กระจายสินค้า เพื่อสร้างอำนาจการต่อรองและชิงอำนาจการกำหนดราคาไว้ในมือ
และนอกเหนือจาก “สติกเกอร์ติดขั้วทุเรียน” ซึ่งหลุดออกง่ายและทำปลอมได้ง่ายที่ตลาดปลายทาง ประเทศไทยควรแสวงหาแนวทางในการสร้างอัตลักษณ์ของ “ทุเรียนไทย” ให้ผู้บริโภคสามารถแยกแยะได้ชัดเจนและควรประชาสัมพันธ์ให้เกิดการรับรู้ในวงกว้าง เพื่อป้องกันการ “สวมชฎาไทย” ของทุเรียนประเทศคู่แข่ง อีกทั้งยังเป็นการปกป้อง “ภาพลักษณ์ทุเรียนไทย” ในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของไทย
การส่งเสริมการวิจัยเพื่อพัฒนาการผลิตทุเรียนนอกฤดูให้มีผลผลิตตรงกับช่วงเทศกาลสำคัญของจีน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการจับจ่ายสูง และมีการส่งมอบของขวัญเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเทศกาลตรุษจีน ไหว้พระจันทร์ อย่างทุเรียนเวียดนามสามารถชดเชยความต้องการในตลาดจีนได้ เพราะมีฤดูกาลที่ให้ผลผลิตทุเรียนยาวกว่าไทย จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมทุเรียนเวียดนามถึงขยายส่วนแบ่งตลาดในจีนได้อย่างรวดเร็ว
การพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบรรจุภัณฑ์เพื่อการส่งออกไปตลาดจีน ที่ช่วยเก็บรักษาความสดใหม่ของผลไม้ให้ได้มากที่สุด มีดีไซน์สวยงาม ทันสมัย พกพาง่าย และสะดวกในการแกะ/ปอกรับประทาน ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มมูลค่า (Value added) ให้กับตัวสินค้าแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของผลไม้ไทยในฐานะ ผลไม้คุณภาพ ในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน
การฉีกกฎให้แตกต่าง สร้างเครื่องมือเจาะตลาดใหม่ นอกจากการพัฒนาสายพันธุ์ทุเรียนให้ได้ “ทุเรียนลูกผสม” ที่ถูกจริตตลาดจีนแล้ว ประเทศไทยยังสามารถใช้โอกาสจากนโยบาย “วีซาฟรี” ไทย-จีน ที่คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนแห่เที่ยวไทยเป็นจำนวนมาก และเป็นจังหวะที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลทุเรียนของไทย โดยการผนวกการท่องเที่ยวเข้ากับการส่งเสริมการยกระดับ “ทุเรียนพันธุ์พื้นเมืองเฉพาะถิ่น” ให้เป็นทุเรียน GI (Geographical Indicator หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) ชูจุดขาย Rare item (มีน้อย หายาก) ให้นักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งนอกจากจะช่วยยกระดับรายได้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่แล้ว ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและเบิกทางสร้างโอกาสในการทำตลาดทุเรียนไทยในจีนต่อไป
การทำคอนเทนต์และสร้างไวรัลในโลก “โซเชียลมีเดียจีน” อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับรสชาติและเนื้อสัมผัสของ “ทุเรียนไทย” ที่แตกต่างจากทุเรียนชาติอื่น และการส่งเสริมการรับรู้เกี่ยวกับทุเรียนไทยสายพันธุ์อื่นที่มีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดจีน โดยอาจพิจารณาใช้วิธีการสร้างเรื่องเล่า (storytelling) ให้กับทุเรียน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทุเรียนไทยเหมือนอย่างที่ทุเรียนมูซังคิงของมาเลเซียประสบความสำเร็จมาแล้วในการทำตลาดไฮเอนด์ในจีน โดยสามารถทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) หรือดารานักร้องที่ชาวจีนนิยมชื่นชอบ และใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือ ในการประชาสัมพันธ์ทุเรียนไทยในมุมมองที่แตกต่าง
การศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวจีนอย่างใกล้ชิด นอกจากทุเรียนผลสด ตลาดจีนยังนิยมนำเนื้อทุเรียนไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารคาวหวานที่หลากหลาย อาทิ เค้ก พิซซ่า ไอศกรีม ดังนั้น การส่งออก “เนื้อทุเรียน” เป็นอีกทางเลือกในการจัดการทุเรียนตกเกรดและช่วยขยายห่วงโซ่อุตสาหกรรม กลุ่มวัยรุ่นจีนนิยมการบริโภคผลไม้ตามกระแสความนิยมในสังคม ชอบ “แชะ & แชร์” ผ่านโซเชียลฯ ต่าง ๆ จึงมีความจำเป็นที่ผู้ค้าต้องวางแผนกลยุทธ์ และกิจกรรมการตลาดที่เหมาะสม เพื่อสามารถกำหนดทิศทางในการพัฒนาผลไม้ไทยให้เข้าถึงตลาดผู้บริโภคชาวจีนแต่ละกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ว่าในปัจจุบันชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของ “ผลไม้ไทย” จักยังครองใจผู้บริโภค “ชาวจีน” แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การพัฒนาคุณภาพผลไม้และราคาของคู่แข่งเป็นตัวพลิกผันที่อาจทำให้ที่นั่งของ “ทุเรียนไทย” ในใจผู้บริโภคจีนเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย...
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : กฤษณะ สุกันตพงศ์ ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน
เจ้าหน้าที่เนื้อหาดิจิทัล สำนักสื่อดิจิทัล ไทยพีบีเอส / Specialist Contents / Journalist / Writer / Creative Copywriter / Proofreader Lover : (FB : เซบา บาสตี้)