คุณเคยฝันไหมว่าจะได้ไปใช้ชีวิตในญี่ปุ่น ประเทศที่คนไทยหลายคนรักและใฝ่ฝัน ?
หลายคนอาจคิดว่า การแต่งงานกับคนญี่ปุ่นและย้ายไปอยู่ที่นั่น คงจะเป็นชีวิตที่สวยงามเหมือนในซีรีส์ หรือเหมือนตอนที่เราไปเที่ยว แต่ความจริงแล้ว มันไม่ใช่แค่ชีวิตในฝันที่เต็มไปด้วยความหวาน
เก่ง ศิรประภา ยามาโมโต สาวไทยที่ย้ายมาอยู่โตเกียวถึง 12 ปี และเกด วิรังรอง นันทขว้าง มินามิดะ ที่อยู่คาโงชิม่ามา 15 ปีแล้ว ทั้งสองคนได้เปิดใจเล่าประสบการณ์ตรงที่หลายคนอาจไม่รู้
เก่งคบกับแฟนชาวญี่ปุ่นมาถึง 7 ปี ก่อนตัดสินใจลาออกจากงานข้าราชการและย้ายมาญี่ปุ่น เธอบอกว่าตัวเองเป็นคนมองโลกในแง่ดี ไม่ได้คิดถึงปัญหาอะไรเลย คิดแค่ว่ามาสร้างครอบครัวที่ญี่ปุ่น ด้วยความเชื่อมั่นในตัวแฟน
ส่วนเกดนั้น เรียนต่างประเทศด้วยกันกับสามีในอนาคต จากเพื่อนกลายเป็นแฟนแล้วแต่งงานภายในหนึ่งปี แต่ตอนนั้นยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน จนกระทั่งตัดสินใจย้ายมาญี่ปุ่นจริงจริง
ใครจะรู้ว่า ความฝันและความจริง มันต่างกันขนาดไหน ?
เกดคิดว่า การพูดภาษาอังกฤษกับสามีได้ น่าจะทำให้ชีวิตในญี่ปุ่นโอเค แต่พอมาถึงจริง มันไม่เหมือนที่คิด เธออยู่ต่างจังหวัด ไม่ได้อยู่โตเกียว ที่นั่นแทบไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษ ยิ่งมีภาษาถิ่นคาโงชิม่าด้วยซ้ำ อยากไปเรียนภาษาก็ไปไม่ได้ เพราะจากบ้านไปโรงเรียนต้องเข้าเมือง ต้องนั่งรถไปกลับวันละ 2 ชั่วโมง พอย้ายมาได้ 6 เดือนก็ท้อง ก็ไปเรียนไม่ได้ ต้องหัดเองให้ได้ เก่งโชคดีกว่า เพราะแม่สามีสนับสนุนให้ไปเรียนภาษา ลงคอร์สให้เลยถึง 2 ปีครึ่ง แต่ที่บ้าน สามีจะไม่แก้ภาษาที่พูดผิดให้เลย เพราะคิดว่าน่ารัก แต่แม่สามีต่างหาก คือครูที่แท้จริง
เก่งอยู่บ้านเดียวกับแม่สามีตลอด แม่เป็นคนมีระเบียบมากมาก พอเก่งเข้าบ้านมา แม่จะบอกทันทีว่า "เก่ง รองเท้าไม่จัดนะ ทำไมกระจัดกระจายแบบนี้" พูดอะไรผิดนิดเดียว แม่จะให้แก้ทันที ตอนแรกเหนื่อยมาก เพราะพูดอะไรก็ต้องพูดใหม่ ถูกว่าสำเนียงไม่ถูก แต่พอเวลาผ่านไป กลับรู้สึกขอบคุณ เพราะพอออกไปไหน คนญี่ปุ่นชมว่าสำเนียงดี แม่สามีแม้จะเข้มงวด แต่ก็ดูแลดีมาก พอรู้ว่าเก่งท้อง แม่มาติดราวบันไดให้เลย เพราะกลัวตกบันได้ พอเก่งจะไปเรียนที่โรงเรียนภาษา แม่จัดกระเป๋าให้ ใส่ถุงพลาสติกไว้สำหรับเก็บขยะ เพราะญี่ปุ่นไม่มีถังขยะตามถนน
แต่ก็มีความเห็นที่ต่างกัน อย่างตอนที่เก่งมีลูกสาว แม่บอกว่าไม่ต้องพูดภาษาไทยกับหลาน เพราะกลัวจะโดนแกล้ง แต่เก่งก็พูดคุยกับแม่ได้ว่า เดี๋ยวนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว ลูกต้องพูดญี่ปุ่นได้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง
คนญี่ปุ่นชอบให้เดาเอง ไม่พูดตรงๆ ต้องอ่านบรรยากาศ เก่งบอกว่า พอมาใหม่ๆ เธอยังไม่เป็น จะสนุกสนานไปเอง แต่พออยู่มาสิบปี เริ่มอ่านบรรยากาศออก รู้ว่าเมื่อไหร่ต้องเงียบ คนญี่ปุ่นเก็บความรู้สึกตัวเองเยอะมาก เพราะกลัวไปกระทบความรู้สึกคนอื่น เก็บมากจนลืมคิดถึงความรู้สึกตัวเอง บางทีอยู่ไปนานๆ ก็มีความกดดัน ต้องกลืนไปกับวัฒนธรรมของเขา จนกดดันและไม่มีทางออก
เก่งเคยเจอเพื่อนญี่ปุ่นที่คบมา 20 ปี ไม่เคยพูดเรื่องไม่ดี พูดแต่ว่าดี สนุก มีความสุข แต่สุดท้ายกลับฆ่าตัวตาย มันทำให้รู้ว่า คนญี่ปุ่นเก็บเรื่องติดลบไว้ตลอด ไม่เคยเปิดเผยกับใครเลย
พอลูกเข้าโรงเรียน มันมีอะไรต้องทำเยอะมาก พอลูกเข้ามัธยมต้อง เข้าชมรม ต้องรับส่งลูก บางทีกลับดึก บางทีฝนตก วันเสาร์ต้องพาไปซ้อมที่สนามไกลๆ
พอลูกเข้าชมรมยูโด ก็จะมีคุณแม่กลุ่มยูโดร่วมกันทำกิจกรรม ลูกเข้าไป เราก็ต้องทำให้ได้เหมือนคุณแม่คนอื่น ซึ่งเราอาจจะไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรกัน
เกดเคยเป็นหัวหน้าฝ่ายของชั้นลูกชาย ซึ่งต้องเป็นคุณพ่อ แต่ในชั้นนั้นไม่มีพ่อใครทำ เกดก็เลยอาสาทำ ปรากฏว่าต้องไปตัดหญ้า ทำซุ้มประตูวันปีใหม่ ทำซุ้มวันกีฬาสี ซึ่งเป็นงานที่ผู้ปกครองต้องทำเอง ไม่ใช่ยาม
การทำงานของผู้หญิงญี่ปุ่นมีความไม่เท่าเทียมอยู่ พอมีลูกบางทีต้องออกจากงานไปดูแล แต่คนไทยเราฝากปู่ย่าเลี้ยง เราไปทำงาน แต่ญี่ปุ่นไม่ใช่ ลูกอนุบาลเอาไปฝากแป๊บเดียว บ่าย 2 โมงต้องกลับบ้านแล้ว ต้องมารอรับลูก ยากที่จะทำงานข้างนอกที่มีความก้าวหน้า
ผู้หญิงญี่ปุ่นเลยต้องทำงานพาร์ทไทม์ มองไม่เห็นความก้าวหน้าในอาชีพ บางคนจึงเลือกไม่แต่งงาน หรือแต่งแต่ไม่มีลูก
เกดคบกันเป็นเพื่อนปีหนึ่ง คบเป็นแฟนอีกปีหนึ่งแล้วแต่ง ตอนคบกันเป็นแฟน คบทางไกลด้วย มีบางเรื่องที่ยังไม่รู้ สามีชอบเล่นเกม ชอบอยู่คนเดียว มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก ตอนแรกๆ ดี แต่หลังๆ เริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น อยู่ในห้องตัวเอง ออกมากินข้าว แล้วกลับเข้าห้องใหม่ ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ มีโลกส่วนตัวสูงมาก เกดคุยขอให้ออกมาเล่นมาคุยบ้าง สามีทำได้สองวัน แล้วก็กลับเป็นเหมือนเดิม เกดก็เลยคิดว่าเขาคงเป็นอย่างงั้น เพราะมีลูกแล้ว บางเรื่องไม่เหนือบ่าก็ช่างเถอะ ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกแทน
หลังแต่งงานได้ 5-6 เดือน น้องชายของสามีเส้นเลือดในสมองแตก อายุเพียง 29 ปี ทางบ้านคิดว่าเกดคงไม่ย้ายมาแล้ว เพราะมีปัญหาแบบนี้ แต่เกดก็มา และต้องช่วยดูแลน้องชาย กลายเป็นเหมือนมีสามีอีกคนหนึ่ง
เก่งบอกว่า ย้ายมาญี่ปุ่นไม่ได้คุยกันเรื่องรายรับรายจ่าย สามีให้บัตรเครดิตมาใบหนึ่ง ถ้ามีอะไรก็รูด แต่บางทีก็ต้องใช้เงินสด ไม่มีเงินสดเลย พอรูดบัตร สามีถามว่าไปซื้ออะไรมา เขาอาจจะถามเฉยๆ แต่คนจ่ายคนใช้ก็รู้สึกนิดหน่อย ทำไมถามล่ะ เลยอยากทำงาน หาเงินด้วยตัวเอง บางคนจำเป็นต้องส่งเงินกลับบ้าน แต่สามีไม่ให้ อยากออกไปทำงานเพื่อส่งเงินให้ครอบครัวทางไทย แต่สามีบอกไม่ให้ไป เคสแบบนี้ก็มี
เก่งเคยทะเลาะกับสามีบ่อย สามีถามว่าจะเอายังไงดี จะกลับก็ได้ แต่ตอนนั้นลูกยังเล็ก ต้องคิดถึงลูกก่อน ถ้าตัดสินใจกลับ เราทำได้ เราเอาลูกกลับได้ แต่เก่งมองว่า อยากให้ลูกเติบโตที่นี่ เพราะเป็นห่วงหลายอย่างที่ไทย อย่างยาเสพติด สังคม หลายอย่าง อยู่ที่นี่ให้ลูกโตที่นี่น่าจะดีกว่า ทุกวันที่ตื่นมา ต้องเจออะไรใหม่ๆ บางอย่างที่ไม่รู้โผล่ออกมาทุกวัน ต้องปรับตัวไปเรื่อยเรื่อย
เกดใช้ความพยายามสูงมาก ถ้าอันนี้ทำไม่ได้ ต้องปรับมายด์เซ็ตก่อนว่าเราทำได้ ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ มันก็จะไม่ได้จริงๆ เก่งมองว่า ต้องเข้าใจทุกคน บางคนอาจจะมีความคิดไม่ดีกับเรา แต่มองในมุมของเขา เขาอาจจะเข้าใจในมุมนั้น ก็ไม่โกรธ มองทุกอย่างด้วยความเข้าใจ ก็เลยไม่ค่อยเครียด จะพยายาม แต่ถ้าไม่ได้ก็ปล่อยไป ไม่ได้ต้องพยายามให้ถึงที่สุดเหมือนเกด ถ้ามองแล้วเราไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร
ข้อดี คือได้อยู่กับคนที่เรารัก ประเทศพัฒนาแล้ว การคมนาคมสะดวก อากาศดี อาหารดี ผู้คนมีมารยาท การขับรถมีกฎมีระเบียบ ขับง่ายกว่าเมืองไทยเยอะ
ข้อเสีย คือต้องห่างจากครอบครัวที่ไทย เก่งสนิทกับพ่อแม่มาก ต้องแยกกันอยู่ คิดถึง ก็ใช้การโทรวันละ 1-2 นาที แค่รู้ว่าเขาสบายดี
ต้องใช้แรงพลังเยอะมากในการมีครอบครัว การย้ายประเทศ คนที่ย้ายมาเป็นคนเสียสละ ไม่ว่าจะประเทศอะไร ถ้าไม่ได้ภาษาด้วย ต้องเริ่มจากศูนย์ ต้องใช้ความพยายามเยอะมาก
บางคนรู้สึกว่า อยู่เลี้ยงลูกไม่ได้ทำงาน ต้องขอเงินสามี รู้สึกเหี่ยว รู้สึกว่าทำอะไรได้มากกว่านี้ ก็ควรหาอะไรทำ ให้รู้สึกว่าตัวเองยังมีคุณค่า ยังมีความสามารถ ทำให้ตัวเองรู้สึกชุ่มชื่น สดชื่น
ต้องคิดถึงอนาคตด้วย ถ้ามาถึงแล้วสามีเป็นหัวหน้าครอบครัวไม่ได้ เราทำได้หรือเปล่า มันจะยากกว่าผู้หญิงญี่ปุ่นอีกเท่าตัว เพราะภาษาอาจจะไม่เก่งเท่า โอกาสในการทำงานที่ออกไปหาเงินดูแลครอบครัวทั้งครอบครัว มันก็ยาก อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เปิดใจและยอมรับมากกว่า ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมา ก็รับมือไป การอยู่ที่ญี่ปุ่นมันเปิดโอกาสให้ตัวเอง บางทีเราทิ้งหน้าที่การงานมา เราอาจจะมีอะไรใหม่ที่เป็นโอกาสที่นี่ก็ได้ อยู่ที่ตัวเราว่าจะปรับใช้ยังไง จะทำตัวยังไง ที่สำคัญที่สุดคือ ยืนด้วยลำแข้งตัวเอง มีความสุขที่สุด ถ้าเรามีความสามารถที่จะดูแลตัวเอง ดูแลลูก ดูแลสามี อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้
ติดตามชมได้ในรายการ ดูให้รู้ วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน 2568 เวลา 17.30 - 18.00 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมผ่านทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live และติดตามความเคลื่อนไหวของรายการได้ที่ www.facebook.com/Dohiru
ดูให้รู้ Dohiru

คาวาโกเอะเมืองหลวงของคนไทยในญี่ปุ่น
ที่สุดแห่งอนาคตจากทุกมุมโลกพบได้ในที่เดียว World Expo 2025
อยากเป็น #ทีมญี่ปุ่น ต้องดู...เป็นแม่บ้านญี่ปุ่นหวานหรือขม
วิจัย ! แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ญี่ปุ่นหายจากแผนที่โลกจริงหรือ

อายุเกิน 100 ปี สูตรแบบญี่ปุ่น ใคร ๆ ก็ทำได้
ทำอย่างไรให้อายุ 102 ปี แต่เหมือนคนอายุ 70 ปี ฟิตปั๋งพลังเวอร์
Belle Pot Ashiya ร้านอาหารพันปี
วัคซีนกู้โลก หัวใจ ไต มะเร็งก็สู้ไหว อยู่ 100 ปีไม่ไกลเกินเอื้อม
วัคซีนกู้โลก หัวใจ ไต มะเร็งก็สู้ไหว อยู่ 100 ปีไม่ไกลเกินเอื้อม
เมืองที่ชีวิตในหนึ่งวันไม่ต้องสร้างขยะพลาสติก "คาเมโอกะ"
ดูให้รู้ Dohiru

คาวาโกเอะเมืองหลวงของคนไทยในญี่ปุ่น
ที่สุดแห่งอนาคตจากทุกมุมโลกพบได้ในที่เดียว World Expo 2025
อยากเป็น #ทีมญี่ปุ่น ต้องดู...เป็นแม่บ้านญี่ปุ่นหวานหรือขม
วิจัย ! แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ญี่ปุ่นหายจากแผนที่โลกจริงหรือ

อายุเกิน 100 ปี สูตรแบบญี่ปุ่น ใคร ๆ ก็ทำได้
ทำอย่างไรให้อายุ 102 ปี แต่เหมือนคนอายุ 70 ปี ฟิตปั๋งพลังเวอร์
Belle Pot Ashiya ร้านอาหารพันปี
วัคซีนกู้โลก หัวใจ ไต มะเร็งก็สู้ไหว อยู่ 100 ปีไม่ไกลเกินเอื้อม
วัคซีนกู้โลก หัวใจ ไต มะเร็งก็สู้ไหว อยู่ 100 ปีไม่ไกลเกินเอื้อม
เมืองที่ชีวิตในหนึ่งวันไม่ต้องสร้างขยะพลาสติก "คาเมโอกะ"