EN

แชร์

Copied!

ตรวจสอบพบ: ภาพทักษิณ ตัดผมเกรียน-สักเต็มตัว สวมชุดผู้ต้องขัง แท้จริงสร้างจาก AI

18 ก.ย. 6819:02 น.
การเมือง#ข่าวปลอม
ตรวจสอบพบ: ภาพทักษิณ ตัดผมเกรียน-สักเต็มตัว สวมชุดผู้ต้องขัง แท้จริงสร้างจาก AI

ภาพอดีตนายกรัฐมนตรี "ทักษิณ ชินวัตร" ตัดผมเกรียน มีรอยสัก และสวมชุดนักโทษ ตรวจสอบแล้วเป็นภาพปลอมที่สร้างจาก AI ขณะที่กรมราชทัณฑ์ยืนยัน ตามระเบียบไม่สามารถเผยแพร่ภาพผู้ต้องขังได้

Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาข่าวปลอมจาก : Threads

Thai PBS Verify พบบัญชีผู้ใช้แอปพลิเคชัน Threads รายหนึ่งลงภาพ
ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรีลักษณะตัดผมเกรียน หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งบังคับโทษ 1 ปี ในคดีชั้น 14 โดยลงภาพนายทักษิณ ดังกล่าว พร้อมอ้างข้อความระบุว่า 

เท่ห์เลย เหมือนราชวงศ์ชิง พร้อมปรากฏข้อความในรูปภาพระบุว่า ทักษิณ ตัดผมแล้ว อธิบดีราชทัณฑ์ บอก “ท่านทำใจได้แล้ว” เผยกำลังใจดี กินข้าวได้ปกติ

ภาพอดีตนายกรัฐมนตรี ถูกนำมาอ้างพร้อมข้อความว่า ทักษิณ ตัดผมแล้ว อธิบดีราชทัณฑ์ บอก “ท่านทำใจได้แล้ว” เผยกำลังใจดี กินข้าวได้ปกติ

โดยโพสต์ดังกล่าวมียอดกดถูกใจ 1,300 ครั้ง และแชร์ 160 ครั้ง พร้อมมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็น 183 ข้อความ

จากการตรวจสอบด้วยการค้นหาคำสำคัญ พบว่าข้อความในรูปภาพที่อ้างคำพูดของรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ที่ระบุว่า “ท่านทำใจได้แล้ว”  ไปตรงกับรายงานข่าวของไทยรัฐ เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 68 

ภาพบันทึกหน้าจอของรายงานข่าวจากเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ระบุว่า เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2568 ที่เรือนจำกลางคลองเปรม พ.ต.ท. เชน กาญจนาปัจจ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยถึงกรณีการคุมขังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “ท่านทำใจได้แล้ว มียาโรคประจำตัวรับประทานตลอด อ่านหนังสือ และดูทีวีคลายเครียด”

นอกจากนี้เรายังพบภาพนายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรีสวมชุดผู้ต้องขัง พร้อมรอยสักทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นภาพลักษณะล้อเลียนทางการเมืองในช่องแสดงความคิดเห็นอีกด้วย

ตรวจสอบพบเป็นภาพสร้างจาก AI

เมื่อนำภาพดังกล่าวไปตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือตรวจสอบภาพ AI จากเว็บไซต์ wasitai พบว่า ภาพทั้งหมดสร้างจากเทคโนโลยี AI

ภาพอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” ตัดผมสั้นเกรียนที่หน้าเรือนจำคลองเปรม ตรวจสอบแล้วโดยเว็บไซต์ wasitai ผลลัพธ์คือสร้างจาก AI

ขณะเดียวกัน Thai PBS Verify ตรวจสอบพบว่า ภาพที่ถูกนำไปดัดแปลงด้วย AI นั้น ถูกนำมาจากรายงานข่าวของ Thai PBS (18 มิ.ย.จับตา 4 คดีร้อน “การเมืองไทย” ทักษิณ รอด ไม่รอด?)

ภาพเปรียบเทียบระหว่างภาพที่สร้างจาก AI (ซ้าย) และภาพต้นฉบับจากรายงานของ Thai PBS (ขวา) พบว่าเป็นใบหน้าของอดีตนายกรัฐมนตรีที่เป็นมุมภาพเดียวกัน

ภาพอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” ในลักษณะผู้ต้องขัง ร่างกายท่อนบนมีรอยสัก ตรวจสอบแล้วโดยเว็บไซต์ wasitai ผลลัพธ์คือสร้างจาก AI

กรมราชทัณฑ์ ยืนยันเป็นภาพปลอม

ตัวแทนจากกรมราชทัณฑ์ ให้ข้อมูลกับ Thai PBS Verify ว่า ภาพอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์นั้นเป็นภาพปลอม โดยชี้แจงว่า กรมราชทัณฑ์มีการจัดทำทะเบียนและประวัติของผู้ต้องขังตามขั้นตอนทางราชการ แต่ตามระเบียบแล้วจะไม่สามารถนำข้อมูลหรือภาพของผู้ต้องขังออกมาเผยแพร่ได้

ดังนั้น หากมีภาพที่อ้างว่า เป็นภายในเรือนจำหรือภาพผู้ต้องขังถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ จึงเป็นไปไม่ได้

AI ขายความเกลียดชังนำมาสู่รายได้

ด้าน รศ. ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ม.ธรรมศาสตร์ มองถึงกรณีดังกล่าวว่า เป็นปรากฏการณ์คล้ายช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าการสร้างภาพปลอมล้อเลียนด้วย AI มีจุดประสงค์เพื่อสร้างยอด Engagement ซึ่งนำไปสู่รายได้ของเพจดังและเหล่าอินฟลูเอนเซอร์

“คุณทักษิณเป็นบุคคลสาธารณะที่อยู่ในกระแส ทุกคนอยากจะเห็นรับรู้เรื่องของอดีตนายกรัฐมนตรีด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งคนรักและคนที่ไม่รัก ดังนั้น แม้จะรู้ว่าเป็นภาพปลอม แต่ก็ยังมีการส่งต่อกัน ซึ่งทำให้สามารถสร้างรายได้ให้กับอินฟลูเอนเซอร์และเพจต่าง ๆ ได้”

รศ. ดร.วิไลวรรณ ย้ำว่า ในกรณีของภาพที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI สิ่งที่สื่อวิชาชีพควรทำคือ ไม่ควรนำเสนอหรือขยายผลต่อ โดยเฉพาะในโลกของระบบนิเวศโซเชียลมีเดีย ซึ่งอยากให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตระหนักถึงบทบาทของตนเอง และมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากยิ่งขึ้น

เสรี (ภาพ) บนความเกลียดชัง

แม้ว่าการดัดแปลงภาพหรือการล้อเลียนบุคคลสาธารณะ หลาย ๆ คนอาจจะมองว่าจะเป็น Freedom of Speech หรือ Freedom of Expression (สรีภาพในการแสดงออก) รศ. ดร.วิไลวรรณ มองว่า กรณีนี้จำเป็นต้องอยู่ในขอบเขตความเหมาะสม และตระหนักถึงหลักการการมี Empathy (ความเห็นอกเห็นใจ)

“ลองคิดว่า ถ้าเราถูกล้อเลียนในลักษณะเดียวกัน เราจะรู้สึกสนุกหรือไม่
หากลูกหลานของตระกูลชินวัตรก็คงไม่รู้สึกสนุก พวกเขาก็อาจจะรู้สึกเจ็บปวดในแบบของเขา”

“ความน่ากลัวอีกอย่างคือ เรื่องของการแสดงความคิดเห็น ที่เหมือนกับเอารูปของคนที่เรารัก มาขึงกลางสี่แยก แล้วทุกคนก็เอาหินมาปา แบบภาพในสมัยอดีต ไม่ต่างการเขียนด่าคอมเมนต์เสีย ๆ หาย ๆ ระบบนิเวศสื่อเต็มไปด้วยอคติ ซึ่งมันขยายอารมณ์ของเรื่องดราม่านั้น ๆ ให้รุนแรงมากขึ้น”

จากหน้ากระดาษสู่จอออนไลน์ มองวิถีล้อการเมืองที่เปลี่ยนไป

รศ. ดร.วิไลวรรณ ขยายภาพในอดีตให้เห็นว่า การล้อเลียนการเมืองมักปรากฏในรูปแบบของคอลัมน์การ์ตูน ซึ่งถูกจัดวางไว้ในพื้นที่เฉพาะอย่างชัดเจน เช่น คอลัมน์การเมืองของหนังสือพิมพ์ ยกตัวอย่างเช่น “ผู้จัดกวน” ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้อ่านรับรู้โดยทั่วไปว่า เป็นการแสดงความเห็นหรือเสียดสี ไม่ใช่ข้อเท็จจริง

“ในปัจจุบันพื้นที่มันเบลอปนกันไปหมด เมื่อก่อนพื้นที่ข่าวก็คือข่าว
คอลัมน์ก็คือพื้นที่แสดงความเห็นของผู้เขียน ซึ่งมีความชัดเจนว่าเป็นความเห็นส่วนตัว เช่นเดียวกับการ์ตูนที่มีชื่อผู้เขียนชัดเจน ใครคือผู้รับผิดชอบเนื้อหาชิ้นนี้ แต่ทุกวันนี้ เราไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างภาพ AI ขึ้นมา และคนก็แชร์ต่อกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งหากคนมีอคติ คนพร้อมจะเชื่อว่าข้อมูลคือความจริง หรือแม้พยายามจะนำเสนอความไม่จริงให้จริง”

“ความน่ากลัวคือ สื่อบางรายรู้ว่าเป็นของปลอม แต่ก็ยังนำเสนอเพราะต้องการยอดขายหรือยอดผู้ชม ซึ่งสะท้อนถึงความไม่รับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของตัวเอง”

กระบวนการตรวจสอบ

ตรวจสอบภาพด้วยเครื่องมือ AI: นำภาพที่อ้างว่าเป็น ทักษิณ ชินวัตรในชุดผู้ต้องขังดังกล่าว ไปตรวจสอบด้วยเครื่องมือตรวจจับภาพ AI อย่าง wasitai พบว่าภาพดังกล่าวถูกสร้างจากปัญญาประดิษฐ์

ค้นหาด้วยการใช้คำสำคัญ: เมื่อนำคำสำคัญอย่างที่ปรากฏในภาพดังกล่าวไปค้นหา เช่น “รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์” พบว่าเนื้อหาบางส่วนถูกพบในรายงานของสำนักข่าวออนไลน์จริง ทำให้ทราบว่าเป็นการนำภาพมาบิดเบือนกับเนื้อหา รวมไปถึงทำให้ตรวจสอบพบภาพต้นฉบับว่าไปตรงกับรายงานของข่าวจากเว็บไซต์ Thai PBS 

ตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ: สอบถามไปยังกรมราชทัณฑ์ พบว่าภาพดังกล่าวเป็นเท็จ เนื่องจากกรมราชทัณฑ์ไม่มีระเบียบให้เผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวผู้ต้องขัง

ผลกระทบจากการรับข้อมูลเท็จ
กระตุ้นความเกลียดชังในสังคม: การสร้างและแชร์ภาพปลอมแบบล้อเลียน มักจุดกระแสให้เกิดความเกลียดชังทางการเมืองและกระตุ้นเร้าอารมณ์ ลดทอนความน่าเชื่อถือของบุคคลสาธารณะ นำไปสู่การมองข้ามการใช้เหตุและผลในการส่งต่อข้อเท็จจริง

ลดความน่าเชื่อถือของข้อมูลจริง: การนำภาพปลอมและข้อความมาบิดเบือนทำให้สร้างบรรทัดฐานที่ผิดในสังคมออนไลน์ ว่าข้อมูลใดก็ตามที่น่าเชื่อ หรือแชร์เยอะ คือความจริง ทั้งที่อาจเป็นการบิดเบือนโดยไร้แหล่งอ้างอิง ส่งผลให้ผู้บริโภคข่าวสารเกิดความสับสน และลดความเชื่อมั่นต่อสื่อที่นำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง

ข้อแนะนำเมื่อได้ข้อมูลเท็จนี้ ?

  1. ตรวจสอบที่มาให้ชัดเจน หากพบภาพหรือข้อมูลที่กระทบต่อบุคคลสาธารณะ ควรตรวจสอบว่ามาจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือหรือไม่ เช่น เว็บไซต์ข่าวกระแสหลัก หรือหน่วยงานที่เชื่อถือได้
  2. ใช้เครื่องมือช่วยตรวจสอบ ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบภาพว่าเป็นของจริงหรือสร้างจาก AI เช่น wasitai.com หรือ Google Lens
  3. ใช้วิจารณญาณก่อนแชร์ ข้อมูลปลอมมักกระตุ้นอารมณ์โกรธ หรือสะใจ หากรู้สึกแบบนั้น ให้หยุดและคิดก่อนแชร์ เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อการปั่นกระแส