คืนนี้จับตาวุฒิสภาสหรัฐ รับรองร่างขยายเพดานก่อหนี้

Logo Thai PBS
คืนนี้จับตาวุฒิสภาสหรัฐ รับรองร่างขยายเพดานก่อหนี้

สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ เตรียมลงมติรับรองร่างขยายเพดานการก่อหนี้ภายในเที่ยงวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น หลังสภาผู้แทนราษฎรลงมติรับรองไปแล้วก่อนหน้านี้

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯลงมติด้วยคะแนน 269 ต่อ 161 คะแนนรับรองร่างขยายเพดานก่อหนี้เพิ่มขึ้น 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ โดยการลงมตินอกจากจะเป็นที่จับจ้องของสังคมเนื่องจากเป็นร่างมติที่จะชี้ชะตาว่า ทำเนียบขาว จะมีเงินไปชำระหนี้ได้ทันเส้นตายเที่ยงคืนวันที่ 2 ส.ค.หรือไม่  สิ่งหนึ่งที่สร้างความประทับใจอย่างยิ่ง คือการปรากฏตัว และ ร่วมลงมติครั้งแรกของนางเกเบรียล กิฟฟอร์ด ส.ส.เดโมแครต นับตั้งแต่ฟื้นตัวจากการถูกยิงศีรษะเมื่อเดือนมกราคม โดยเธอลงคะแนนรับรองร่างท่ามกลางเสียงปรบมือให้กำลังใจของ ส.ส.ทั้งสภา

หลังจากนี้ร่างมติฉบับนี้จะถูกส่งต่อให้สมาชิกวุฒิสภาลงมติซึ่งจะต้องได้คะแนน 60 จาก 100 เสียงจึงจะถือว่าผ่านความเห็นชอบ โดยมีรายงานว่านายแฮรี รีด ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาเตรียมเรียกประชุมเพื่อลงมติตอนเที่ยงวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับประมาณ 23.00 น.วันนี้ตามเวลาไทย  และ จะไม่อนุญาตให้มีการอภิปรายแก้ไขร่างมตินี้ ซึ่งเมื่อผ่านจะเร่งส่งต่อให้ประธานาธิบดีโอบาม่าลงนามเพื่อบังคับใช้

แม้จะผ่านการลงมติสภาล่างแล้วแต่ยังมีความไม่เชื่อมั่นถึงความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ และ ไม่ชัดเจนว่า การผ่านร่างมติในนาทีสุดท้ายจะทำให้สหรัฐยังคงได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือเครดิตการชำระหนี้ในระดับทริปเปิ้ลเอ ต่อไปหรือไม่สะท้อนจากอัตราการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดเอเชียที่ปรับตัวลดลง

หนังสือพิมพ์พีเพิลส์เดลี่กระบอกเสียงของรัฐบาลจีนวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในสภาสหรัฐฯว่า เป็นการต่อสู้ทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือทางการคลังของสหรัฐฯ แม้ว่าสหรัฐฯจะไม่ยอมให้เกิดการค้างชำระหนี้ก็ตาม

โดยการงัดข้อทางการเมืองจนกลายเป็นวิกฤตความน่าเชื่อถือครั้งนี้ ยังส่งผลรุนแรงต่อภาพลักษณ์ของประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า  โดยนักวิชาการอเมริกันให้ความเห็นว่า การต่อรองครั้งนี้ถือว่า ผู้นำสหรัฐฯถูกปั่นหัวและพ่ายแพ้ เพราะแม้จะสามารถเจรจาจนผลักดันเป็นร่างมติได้ในที่สุด แต่สมาชิกหัวเสรีในพรรคเดโมแครตเอง มองว่านายโอบาม่า ไม่มีความกล้าหาญเพียงพอ เพราะไม่สามารถยืนหยัดความต้องเพิ่มการเก็บภาษีคนร่ำรวยได้ แม้จะรักษาโครงการสวัสดิการรัฐ และโครงการหลักประกันสุขภาพได้ก็ตาม

แตกต่างกับท่าทีที่แข็งกร้าว และ ชัดเจนตอนรับมือกับวิกฤตน้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโก ซึ่งนักวิจารณ์การเมืองอีกคนให้ความเห็นว่า ผู้นำสหรัฐฯไม่สามารถควบคุมทิศทางที่ตัวเองต้องการได้ แต่ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่า ความพ่ายแพ้ครั้งนี้จะส่งผลถึงการเลือกตั้งสมัย 2 หรือไม่

ผลการสำรวจความนิยมประธานาธิบดีสหรัฐ พบว่า นายโอบาม่ามีคะแนนนิยมตกต่ำเหลือเพียงร้อยละ 40 แต่ยังสูงกว่าความนิยมโดยรวมของสภาคองเกรส

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง