สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟา) ใช้มาตรการตอบโต้รัสเซียทางการกีฬาโดยสั่งห้ามทีมฟุตบอลรัสเซียใช้สนามของตัวเองในแมตช์ที่แข่งขันในบ้าน โดยให้ใช้สนามเป็นกลางและต้องแข่งแบบไม่มีคนดูห้ามใช้ชื่อทีมชาติรัสเซีย รวมถึงห้ามใช้ธงชาติและเพลงชาติ ซึ่งทีมรัสเซียจะต้องลงแข่งในนามของสหภาพฟุตบอลแห่งรัสเซีย (RFU) แทน
ฟีฟ่า ยังระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่จะประชุมร่วมกับ ยูฟ่า, สหพันธ์กีฬานานาชาติอื่นๆ รวมไปถึง คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (OIC) ว่าควรจะตัดสิทธิ์รัสเซียจากการแข่งขันรายการต่าง ๆ ที่องค์กรกีฬานานาชาติรับรองหรือไม่เพื่อเป็นแสดงออกในการต่อต้านรัฐบาลรัสเซียหลังบุกยูเครนจากคำสั่งแบบนี้ของฟีฟ่าทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ตามมา เพราะมองว่าการลงดาบของฟีฟ่านั้นเบาเกินไป
เซซารี่ คูเลสซ่า ประธานสมาคมฟุตบอลโปแลนด์ ที่เป็นคู่แข่งของรัสเซียโดยตรง ในการแข่งฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกโซนยุโรป รอบเพลย์ออฟ โพสต์ผ่านทวิตเตอร์ว่า การตัดสินใจของฟีฟ่าในวันนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ จุดยืนของโปแลนด์ยังเหมือนเดิมคือไม่ต้องการลงสนามแข่งกับรัสเซียทุกกรณีไม่ว่าคู่แข่งจะใช้ชื่อไหนก็ตาม
นอกจากนี้ ยังมีตัวแทนสมาคมฟุตบอลจากชาติต่างๆ ในยุโรป ทั้ง อังกฤษ , อัลแบเนีย , สวีเดน รวมถึง ฝรั่งเศส ที่ยังไม่พอใจบทลงโทษ พร้อมแสดงจุดยืนเดียวกับโปแลนด์ว่า ไม่ต้องการลงแข่งกับรัสเซีย พร้อมเรียกร้องให้ฟีฟ่าตัดสิทธิ์รัสเซียออกจากการแข่งขันไปเลย
แม้จะถูกตำหนิจากหลายฝ่าย แต่เชื่อว่า ฟีฟ่าน่าจะมีข้อจำกัดหลายอย่างในการใช้มาตรการเด็ดขาดกับรัสเซียเพราะรัสเซียเป็นหนึ่งในชาติยักษ์ใหญ่ ที่มีบทบาทในวงการกีฬาโลก นอกจากนั้น ระหว่างฟีฟ่า กับ รัสเซีย ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน นับตั้งแต่ รัสเซีย ได้สิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ในปี 2018
นอกจากนี้ในอดีตที่ผ่านมา ฟีฟ่าแทบจะไม่แสดงบทบาทยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยจะมีคำสั่งแบนทีมฟุตบอลก็ต่อเมื่อ สมาคมฟุตบอลของชาตินั้น ถูกรัฐบาลแทรกแซงการทำงาน ซึ่งคาดการณ์ว่า ฟีฟ่า อาจรอการยกระดับมาตรการกดดัน จากองค์กรระหว่างประเทศอย่าง "นาโต้" หรือ "ยูเอ็น" ที่มีต่อ รัสเซีย เสียก่อน จึงจะเพิ่มบทลงโทษต่อไป
ที่ผ่านมาฟุตบอลโลกที่จัดมาแล้ว 21 ครั้ง นับตั้งแต่ฟุตบอลโลกสมัยแรกในปี 1930 มีทีมที่ถูกแบนโดยมีผลพวงมาจากสงคราม แค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือ เยอรมนี และ ญี่ปุ่น ซึ่งถูกแบนห้ามลงทำการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ในการแข่งขันปี 1950 ที่กลับมาจัดแข่งหลังจบสงครามโลก ครั้งที่ 2
ขณะที่ อิตาลี แม้ช่วงนั้นจะเป็นฝ่าย เดียวกับ เยอรมนี และ ญี่ปุ่น แต่รอดพ้นจากการถูกแบน เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะได้รัฐบาลชุดใหม่ที่ข้างเดียวกับ ฝ่ายสัมพันธมิตร ในปี 1943