วันนี้ (24 มิ.ย.2568) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาขึ้นมาเที่ยวปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ มากผิดปกติว่า อำนาจการพิจารณาปิดจุดท่องเที่ยวตาเมือนธมอยู่ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในขณะที่รัฐบาลก็กำกับดูแล เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นรัฐบาลรับรู้ทั้งหมด ซึ่งทางนายกฯ ในฐานะประธาน สมช.มอบอำนาจให้กองทัพ ในการพิจารณามาตรการเปิด - ปิดด่านใน 4 ขั้นตอน เพราะมองว่า ทหารอยู่ด่านหน้าสามารถพิจารณาสถานการณ์ได้ว่ามีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด
เมื่อถามว่าอำนาจในการตัดสินใจที่จะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปบนปราสาทตาเมือนธมเป็นของทหารในพื้นที่ใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม ระบุว่า เป็นไปตามปกติ เรายังไม่ได้มีการห้ามหรือไม่ห้าม และประสาทตาเมือนธมที่ผ่านมาขึ้นมาได้ทั้ง 2 ฝ่าย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ขณะนี้ยังไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ยกเว้นแต่มีคำสั่ง ทางแม่ทัพภาคที่ 2 จะต้องเป็นผู้ตัดสินใจ และเชื่อว่าทางทหารจะสามารถดูแลสถานการณ์ในพื้นที่ได้
แม้ปัจจุบันจะมีชาวกัมพูชาและไทย ขึ้นไปเที่ยวบนปราสาทตาเมือนธม เพราะเมื่อครบกำหนดเวลาเขาก็กลับไปตามปกติ แต่ทั้งนี้กองทัพภาคที่ 2 จะต้องพิจารณาตามสถานการณ์ความเป็นจริงว่า ควรจะปิดการท่องเที่ยวปิดการท่องเที่ยวไปก่อนหรือไม่ พร้อมทั้งทำเรื่องผ่านกองทัพบกมายังรัฐบาลเพื่อที่จะนำเข้าที่ประชุม สมช.เมื่อถามว่า สุดท้ายจะต้องให้ สมช.และรัฐบาลเป็นผู้อนุมัติใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมย้ำว่า เป็นไปตามขั้นตอนอำนาจอยู่ตรงนี้ก็ให้ไปดูหากจะทำเลยก็สามารถทำได้
เมื่อถามว่า ได้มีการประเมินสถานการณ์หรือไม่ ไปหลังมีการยกระดับมาตรการผ่านด่านเข้มข้นขึ้น และสถานการณ์ในพื้นที่มีความตึงเครียดมากน้อยเพียงใด นายภูมิธรรมระบุว่า ประชาชนตามแนวชายแดนไม่ถึงขนาดตึงเครียดจนน่ากังวลใจ ซึ่งทางกระทรวงมหาดไทยได้ไปสำรวจหลุมหลบภัย ไว้เรียบร้อยหมดแล้ว แต่สามารถกันอาวุธได้บางส่วน ไม่แน่ใจว่าหากเป็นอาวุธหนักจะสามารถป้องกันได้หรือไม่ จึงได้เร่งให้ทางมหาดไทยไปจัดการ เพื่อเสริมความแข็งแรงของหลุมหลบภัยให้มากยิ่งขึ้น
ส่วนกรณีที่ทหารกัมพูชามีการเพิ่มเติมกำลังและอาวุธหนักเข้าประชิดพื้นที่ชายแดนมีนัยอะไรหรือไม่ นายภูมิธรรม ระบุว่า สำหรับในส่วนของกองทัพ เราเตรียมความพร้อมไว้ทุกเรื่องแล้ว และเชื่อว่ากำลังที่มีอยู่เพียงพอที่จะรับสถานการณ์
เมื่อถามถึงกรณีที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ออกมาระบุว่า นายภูมิธรรม เซ็นรับรองให้ทหารกัมพูชาเข้ามาอยู่ในปราสาทตาเหมือนธม ในการประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ครั้งล่าสุด นายภูมิธรรมกล่าวว่า ตนยังไม่ได้ไปเซ็นอะไร ทุกอย่างดำเนินการตาม MOU 43 ซึ่งขณะนี้ยังมีขั้นตอนการประชุมคณะกรรมการส่วนภูมิภาค ไทย-กัมพูชา (RBC) ซึ่งทางกัมพูชารอสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาอนุมัติ พร้อมกับขอนายสมชัยอย่าพูดอะไรบนพื้นฐานที่ไม่ได้อยู่บนข้อเท็จจริง
เมื่อถามถึงกรณีที่นายฮุนมาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เสนอให้ไทยเปิดด่านชายแดนก่อนจากนั้นกัมพูชาจะเปิดตามใน 5 ชม. แล้วจะกำลังค่อยหารือเรื่องการปรับกำลัง นายภูมิธรรม ระบุว่า เรามีเงื่อนไขและข้อเสนอที่วางไว้ คือ ลดการเผชิญหน้าตลอดแนวชายแดนให้มีการปรับกำลังทั้ง 2 ฝ่าย
รวมถึงการเปิดด่านชายแดนทั้งหมดเพื่อให้เข้าสู่สภาวะปกติ การดำเนินการเหล่านี้จะต้องทำไปพร้อมกันทั้ง 2 ประเทศ โดยการกำหนดวัน-เวลา ซึ่งทางฝั่งกัมพูชาบอกว่า อำนาจทุกอย่างอยู่ที่สมเด็จฮุนเซนเพียงคนเดียว ซึ่งก็ยอมรับว่า ได้มีการเสนอเงื่อนไขตามนั้นจริง ซึ่งในส่วนของเรา บอกว่าเป็นไปไม่ได้จุดยืนของเราต้องดำเนินการคือให้มีการปรับกำลังก่อนเปิดด่านพร้อมกัน
จะมาบอกว่าคุณเปิดก่อนเราเปิดก่อนคงไม่ได้ ก็ควรจะทำให้พร้อมกัน
นายภูมิธรรม ย้ำว่า การที่ไทยจะทำอะไรนั้น ต้องคำนึงถึงสายตานานาประเทศด้วย เพราะไทยเป็นประเทศที่ใหญ่กว่าเพื่อป้องกันข้อครหาว่าเรารุกรานเขา ในขณะเดียวกันเราก็ยังยืนอยู่ในการประชุม RBC ที่จะเกิดขึ้น
เมื่อถามว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะต้องไปพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซนเพื่อให้ได้ข้อยุติในเรื่องการเปิดด่านพร้อมกันใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ก็ไม่ถูกเสียทีเดียวการจะเปิดด่านเป็นเรื่องของที่ประชุม RBC ส่วนที่กัมพูชาปิดประตูตายจะไม่ประชุมนั้น นายภูมิธรรม ระบุว่า สามารถพูดคุยและเจรจาได้ คำพูดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เมื่อมีปัญหา หรือมีประโยชน์ ก็ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ต้องคุย และเชื่อว่าจะสามารถพูดคุยกันได้
อ่านข่าว : สื่อกัมพูชา รายงาน "กัมพูชา" ไม่ใช่ศูนย์กลางอาชญากรรมโลก
ทั่วโลกเสียท่า 8 ล้านล้านบาท “กลโกงแบบใหม่” ภัยคอลเซนเตอร์
"กัมพูชา" ถกนัดแรกเตรียมเอกสารพื้นที่พิพาทยื่นศาลโลก