ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

“ค่ายส้ม” แพ้ยับที่เชียงราย บทเรียนที่ “พรรคประชาชน” ต้องเร่งถอด

การเมือง
15:19
113
“ค่ายส้ม” แพ้ยับที่เชียงราย บทเรียนที่ “พรรคประชาชน” ต้องเร่งถอด
ไม่น่าเชื่อว่า เลือกตั้งซ่อม สส.เขต 7 เชียงราย แทนนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีต สส.พรรคเพื่อไทย ปรากฏว่า พรรคประชาชน ค่ายสีส้มปราชัยพ่ายแพ้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ชนิดสู้กันไม่ได้

ทั้งที่ในการเลือกตั้ง สส.ปี 2566 พรรคประชาชน ขณะนั้นยังเป็นพรรคก้าวไกล สามารถปักธงสส.เชียงรายได้ถึง 3 เขต คือเขต 1 พื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอเมือง เขต 3 พื้นที่รอบนอกตัวเมือง และเขต 6 พื้นที่ติดชายไทย-เมียนมา อ.แม่สาย อ.แม่ฟ้าหลวง

และยังมีคะแนนพรรค หรือคะแนน สส.บัญชีรายชื่อ รวมกันทั้ง 7 เขต ทะลุ 2 แสนคะแนน ขณะที่คะแนนสส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ทั้งหมดได้เกือบ 2.4 แสนคะแนน

หากย้อนกลับไปเลือกตั้งปี 2562 พรรคอนาคตใหม่ ก็ปักธง สส.เชียงราย ได้ 2 คน จากเขต 1 พื้นที่อำเภอเมือง และเขต 6 พื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา เช่นกัน แต่คะแนน สส.บัญชีรายชื่อ ห่างจากพรรคเพื่อไทย ที่ได้ สส. 5 คน เกือบๆ 1.2 แสนคน เท่ากับคะแนนนิยมของพรรคเพิ่มขึ้นเกือบ 5 หมื่นคนในรอบ 4 ปี

นำไปสู่คำถามสำคัญ เกิดอะไรขึ้นกับความนิยมในพรรคประชาชน สำหรับคน จ.เชียงราย ทั้งที่ตอนหาเสียงโค้งสุดท้าย “หัวหน้าเท้ง” นายณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ ได้บินไปช่วยผู้สมัคร สส.เชียงราย เขต 7 หาเสียง ขณะที่พรรคเพื่อไทย ส่งเพียงระดับนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีสำนักนายกฯ ขึ้นไปช่วยหาเสียงให้

หากมองจากปัจจัยในพื้นที่ อาจได้คำตอบเบื้องต้นว่า ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย เขต 7 ของนายพิเชษฐ์ เข้มแข็งมาก เพราะเป็น “บ้านใหญ่” ในพื้นที่ ประกอบกับผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย ที่ได้รับเลือกตั้ง เคยเป็นทั้งนายกสโมสรโรตารีเชียงแสน และส.อบจ.เชียงแสน เท่ากับเป็นฐานเสียงที่เข้มแข็ง ยกกำลัง 2 ของพรรคเพื่อไทย

แต่หากมองจากปัจจัยที่ลึกกว่านั้น นับเป็นการสะท้อนคะแนนนิยมของพรรคสีส้มว่า อาจยังไม่ยั่งยืนมากพอ เหมือนกับพรรคการเมืองอื่นที่เจ้าของพื้นที่ และสามารถทำได้ ด้วยอาศัยการเป็น “บ้านใหญ่” และมีวิธีในการดูแลประชาชนในพื้นที่แบบพึ่งพาอาศัยกันได้ต่อเนื่องกันเป็นสิบปีหรือมากกว่า คล้ายๆ กับกลุ่มการเมืองท้องถิ่น

ขณะเดียวกันไม่มีประเด็นใหม่ ๆ ที่เป็นนโยบายที่โดดเด่นพอจะเสริมความเข้มข้นในคะแนนนิยมให้เพิ่มขึ้นในช่วงนี้ได้ เผลอๆ อาจเสียงลดต่ำลงก็เป็นได้ จากการไปสนับสนุนให้พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกันชัดเจน ให้สามารถตั้งรัฐบาลบริหารประเทศได้ ในกรอบเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภาเพื่อเลือกตั้ง โดยไม่สามารถอธิบายถึงความจำเป็นและเหตุผลให้ประชนทั่วไปเข้าใจได้

หนำซ้ำ พรรคค่ายสีส้มยังมีจุดยืน และท่าทีต่อกองทัพ รวมทั้งเรื่องนโยบายความสัมพันธ์กับกัมพูชา ที่ดูจะไม่สอดคล้องกับประชาชนโดยทั่วไป ตั้งแต่การปราศรัยหาเสียง เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2566 “80 ปีประเทศไทย ทหารมีไว้ทำไม จะไปรบกับใคร หรือสมมุติมีคนมารุกราน ก็ไม่เชื่อว่าจะรบชนะ” ซึ่งถูกขุดขึ้นมาใหม่ หลังเกิดกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา จนเกิดการปะทะครั้งล่าสุด มีทหารและชาวบ้านบาดเจ็บและล้มตาย

ไม่เพียงเท่านั้น น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า ยังเปิดประเด็น “มีคนไม่อยากให้สงครามจบ เพราะทหารอยากเป็นฮีโร่” จนกลายเป็นปมร้อน กระทั่งต้องออกมาอธิบายว่าไม่ได้หมายถึงทหารในแนวหน้า แต่หมายถึงสมเด็จฮุน เซน และกลุ่มทหารการเมืองไทยบางกลุ่ม แต่กระนั้น ก็ช่วยลดโทนความไม่พอใจได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น

ทั้งล่าสุด นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคประชาชน ออกโรงจี้ให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนใหม่ เร่งเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา อ้างเหตุผล ฝ่ายไทยต่างหากที่เป็นฝ่ายสูญเสียรายได้วันละประมาณ 800 ล้านบาท จากการปิดด่านค้าขายกับกัมพูชา จนทัวร์ลงกระหน่ำ เพราะคนทั่วไป ยังไม่ต้องการให้ไทยเปิดด่านชายแดน

ประเด็นที่อ่อนไหวเหล่านี้ มองข้ามไม่ได้ว่า อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้คะแนนนิยมของพรรคค่ายสีส้ม ดูแกว่งไปมา ไม่เสถียรอย่างที่ควรจะเป็น และถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่พลพรรคประชาชนและผู้สนับสนุน รวมทั้ง “ด้อมส้ม” และ “หัวคะแนนธรรมชาติ” ที่เคยมีพลังที่เข้มข้น จะละเลยเสียไม่ได้

เป็นบทเรียนล้ำค่าที่ต้องเร่งถอดหาคำตอบ

วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส

อ่านข่าว : "บิ๊กเต่า" จ่อใช้ กม.คุมผู้มีอิทธิพล-ตรวจสอบเงิน "วัดบางคลาน"

"อนุทิน" ทูลเกล้าฯ ครม.สัปดาห์นี้ จ่อสอบส่งออกทองไปกัมพูชา

หวัง “มาร์ค” นำประชาธิปัตย์ฟื้นคืนชีพ คิดง่ายแต่ทำได้ยาก